
ปากีสถานยังคงเผชิญฝนตกหนักฉับพลัน หรือ “เมฆระเบิด” (Cloudburst) ติดต่อกันหลายวัน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ล่าสุดสำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ (NDMA) รายงานยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 365 ราย ในรอบเหตุการณ์ล่าสุด ส่งผลให้ยอดรวมตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนสูงถึง 695 รายทั่วประเทศ
ที่หมู่บ้าน ดาโลรี บาลา ใกล้เทือกเขากาดูน เจ้าหน้าที่พบผู้เสียชีวิตเพิ่มรวมแล้ว 30 ราย และยังมีผู้สูญหายอย่างน้อย 9 คน ขณะที่หมู่บ้านบนภูเขาหลายแห่งในเขตสวาบี บ้านเรือนกว่า 100 หลังถูกน้ำเชี่ยวและก้อนหินขนาดใหญ่พัดถล่ม ชาวบ้านเล่าว่าได้ยินเสียงดังคล้ายฟ้าร้อง ก่อนที่กระแสน้ำเชี่ยวจะกวาดทุกอย่างหายไปภายในไม่กี่วินาที
สรุปข่าว
ปากีสถานยังคงเผชิญฝนตกหนักฉับพลัน หรือ “เมฆระเบิด” (Cloudburst) ติดต่อกันหลายวัน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ล่าสุดสำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ (NDMA) รายงานยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 365 ราย ในรอบเหตุการณ์ล่าสุด ส่งผลให้ยอดรวมตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนสูงถึง 695 รายทั่วประเทศ
ที่หมู่บ้าน ดาโลรี บาลา ใกล้เทือกเขากาดูน เจ้าหน้าที่พบผู้เสียชีวิตเพิ่มรวมแล้ว 30 ราย และยังมีผู้สูญหายอย่างน้อย 9 คน ขณะที่หมู่บ้านบนภูเขาหลายแห่งในเขตสวาบี บ้านเรือนกว่า 100 หลังถูกน้ำเชี่ยวและก้อนหินขนาดใหญ่พัดถล่ม ชาวบ้านเล่าว่าได้ยินเสียงดังคล้ายฟ้าร้อง ก่อนที่กระแสน้ำเชี่ยวจะกวาดทุกอย่างหายไปภายในไม่กี่วินาที
ในเมือง บูเนอร์ ฝนตกหนักกว่า 150 มิลลิเมตรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 ราย นับเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดของฤดูมรสุมปีนี้ และทางตอนใต้ที่เมืองท่า การาจี ฝนตกสูงถึง 145 มิลลิเมตร ถนนสายหลักหลายเส้นถูกน้ำท่วม รถยนต์ลอยในกระแสน้ำ บ้านเรือนในพื้นที่ลุ่มต่ำเสียหายหนัก ขณะที่เกิดไฟฟ้าดับและการจราจรเป็นอัมพาต
NDMA เปิดเผยว่า มีประชาชนกว่า 25,000 คน ได้รับการอพยพออกจากพื้นที่ประสบภัยแล้ว พร้อมเตือนว่าฤดูมรสุมปีนี้อาจรุนแรงกว่าปกติ และอาจยืดเยื้อไปจนถึงวันที่ 10 กันยายน
สำหรับฝนตกหนักฉับพลัน หรือที่เรียกว่า เมฆระเบิด (Cloudburst) คือปรากฏการณ์ที่ฝนจำนวนมหาศาลตกลงมาในช่วงเวลาสั้น ๆ มักเกิน 100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง และเกิดขึ้นในพื้นที่จำกัดเพียงราว 30 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำฝนที่เทลงมาในครั้งเดียว อาจเทียบเท่ากับฝนที่ควรตกต่อเนื่องหลายชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
สาเหตุหลักมาจากอากาศที่อบอุ่นและชื้นลอยตัวขึ้นสูง กระทบกับภูเขาหรือเนินเขา จนทำให้เกิดเมฆหนาแน่นแบบการพาความร้อน (Convective Cloud) เมื่อเมฆกักเก็บความชื้นไว้ไม่ไหว ก็จะแตกตัวและปล่อยฝนออกมาพร้อมกันอย่างรุนแรงราวกับ “ระเบิดฝน” โดยภูมิประเทศที่มี ภูเขาสูงและสภาพอากาศชื้น อย่างในอินเดียและปากีสถาน จึงเหมาะต่อการเกิดเมฆระเบิด โดยเฉพาะตามแนวเทือกเขาหิมาลัย การาโกรัม และฮินดูกูช ซึ่งดักเก็บมวลอากาศชื้นไม่ให้กระจายตัวได้ง่าย
นักวิชาการชี้ว่า ภาวะโลกร้อน ทำให้บรรยากาศเก็บความชื้นได้มากขึ้น ทุก ๆ อุณหภูมิที่สูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส อากาศจะกักเก็บไอน้ำได้เพิ่มราว 7% ส่งผลให้เมื่อเกิดฝนตก จะมีความรุนแรงมากกว่าเดิม โดยมหาสมุทรอินเดียและทะเลอาหรับที่ร้อนขึ้นยังผลักดันความชื้นเข้าสู่บรรยากาศมากขึ้น ขณะเดียวกันธารน้ำแข็งและหิมะที่ละลายบนภูเขาสูงก็เปลี่ยนแปลงรูปแบบอากาศในท้องถิ่น ยิ่งทำให้ฝนตกมีลักษณะ “ท่วมฉับพลันสลับแล้งจัด” แทนที่จะตกต่อเนื่องเหมือนในอดีต
นอกจากนี้ การพัฒนาเมืองโดยขาดการวางแผน การตัดไม้ทำลายป่า และการสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำ ก็ยิ่งทำให้พื้นดินซึมน้ำได้น้อยลง เมื่อฝนตกหนักเฉียบพลันจึงเกิดน้ำท่วมและดินถล่มรุนแรงขึ้น
เมฆระเบิดถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ คาดการณ์ได้ยาก เพราะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน มีขนาดเล็กและระยะเวลาสั้น แต่ความเสียหายที่ตามมามักกว้างขวางและรุนแรงมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียใต้ที่มีทั้งภูเขา มรสุม และความชื้นสูง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทำให้ปรากฏการณ์นี้เกิดบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- เตือนฝนเพิ่มขึ้นทั่วไทย หลัง 21 ส.ค.นี้ คาดฝนชุกสุดส.ค.-ก.ย.นี้
- พยากรณ์อากาศช่วงวันที่ 21-26 ส.ค. ฝนเพิ่มทั่วไทย ตะวันออก-ใต้ ฝนตกหนักมาก
- โลกร้อนทำน้ำทะเลสูง “ตูนิเซีย” ชายฝั่งหายแล้ว 8 เมตร
- เปิดรายงานโลกร้อนปี 2025 “โดมินิกา-จีน” เสี่ยงภัยพิบัติสูงสุด ส่วน “ไทย” ติดอันดับที่ 30
- นักล่าปรับตัวสู้โลกร้อน เปลี่ยนจากกินเนื้อ เป็นแทะกระดูก
- ชาวอินเดีย 96% ยืนยันโลกร้อนจริง กว่า 30% คิดย้ายถิ่นหนีภัยพิบัติ
- โลกจมขยะพลาสติก ยุโรปเอาจริง แต่ไทยยังเทรวมเป็นภูเขาขยะ
