
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเขย่าระบบนิเวศของโลกอย่างหนัก ล่าสุด ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น เมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ได้เผยข้อมูลใหม่ที่น่าตกใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการย้ายถิ่นของเพนกวินจักรพรรดิ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผลกระทบโดยตรงของโลกร้อนต่อสิ่งมีชีวิตในทวีปแอนตาร์กติกา
ผลการติดตามเพนกวินจักรพรรดิเป็นเวลา 11 ปี โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียม พบว่า นกเพนกวินเหล่านี้ต้องเคลื่อนย้ายถิ่นฐานไปไกลถึง 73 เมตรต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทุก 1 องศาเซลเซียส ในทวีปแอนตาร์กติกา ข้อมูลดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Remote Sensing of Environment ซึ่งนับเป็นหนึ่งในงานศึกษาระยะยาวที่ช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสัตว์ในเขตขั้วโลกได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ผู้วิจัยหลัก หลิน หง นักศึกษาปริญญาเอกจากคณะวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น ได้พัฒนาแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “ดัชนีมูลเพนกวิน” (Guano Index) โดยใช้การตรวจจับร่องรอยของมูลเพนกวินจักรพรรดิบนผืนหิมะ ซึ่งปรากฏเป็นคราบสีเข้มมองเห็นได้จากอวกาศ เพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวของพื้นที่เพาะพันธุ์ในรอบ 11 ปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ หิมะตกหนัก พายุ และการลดลงของน้ำแข็งทะเล ส่งผลให้เพนกวินจักรพรรดิต้องเปลี่ยนแปลงพื้นที่วางไข่บ่อยครั้ง ที่อยู่อาศัยหลายแห่งมีอายุสั้นเพียงไม่กี่ปี และบางพื้นที่ถูกละทิ้งภายในเวลาไม่ถึงสามปี โดยบางฝูงต้องย้ายไกลกว่า 4 กิโลเมตร เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการขยายพันธุ์
สรุปข่าว
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเขย่าระบบนิเวศของโลกอย่างหนัก ล่าสุด ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น เมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ได้เผยข้อมูลใหม่ที่น่าตกใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการย้ายถิ่นของเพนกวินจักรพรรดิ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผลกระทบโดยตรงของโลกร้อนต่อสิ่งมีชีวิตในทวีปแอนตาร์กติกา
ผลการติดตามเพนกวินจักรพรรดิเป็นเวลา 11 ปี โดยใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียม พบว่า นกเพนกวินเหล่านี้ต้องเคลื่อนย้ายถิ่นฐานไปไกลถึง 73 เมตรต่อการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทุก 1 องศาเซลเซียส ในทวีปแอนตาร์กติกา ข้อมูลดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Remote Sensing of Environment ซึ่งนับเป็นหนึ่งในงานศึกษาระยะยาวที่ช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสัตว์ในเขตขั้วโลกได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ผู้วิจัยหลัก หลิน หง นักศึกษาปริญญาเอกจากคณะวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ภูมิสารสนเทศ มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น ได้พัฒนาแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “ดัชนีมูลเพนกวิน” (Guano Index) โดยใช้การตรวจจับร่องรอยของมูลเพนกวินจักรพรรดิบนผืนหิมะ ซึ่งปรากฏเป็นคราบสีเข้มมองเห็นได้จากอวกาศ เพื่อวิเคราะห์การกระจายตัวของพื้นที่เพาะพันธุ์ในรอบ 11 ปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ หิมะตกหนัก พายุ และการลดลงของน้ำแข็งทะเล ส่งผลให้เพนกวินจักรพรรดิต้องเปลี่ยนแปลงพื้นที่วางไข่บ่อยครั้ง ที่อยู่อาศัยหลายแห่งมีอายุสั้นเพียงไม่กี่ปี และบางพื้นที่ถูกละทิ้งภายในเวลาไม่ถึงสามปี โดยบางฝูงต้องย้ายไกลกว่า 4 กิโลเมตร เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการขยายพันธุ์
หลิน หง เตือนว่า หากมนุษยชาติไม่เร่งดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพนกวินจักรพรรดิจะต้องเดินทางย้ายถิ่นไปไกลยิ่งขึ้นเพื่อหาที่วางไข่ ซึ่งจะลดโอกาสในการรอดและการขยายพันธุ์ในระยะยาว
แบบจำลองภูมิอากาศคาดการณ์ว่า ภายในสิ้นศตวรรษนี้ ทวีปแอนตาร์กติกาอาจร้อนขึ้น 1.3 องศาเซลเซียส หากโลกดำเนินนโยบายพลังงานสะอาด หรืออาจสูงถึง 4.8 องศาเซลเซียส หากยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลต่อไป ผลกระทบดังกล่าวจะเร่งให้ระบบนิเวศขั้วโลกเปราะบางและแตกสลายเร็วขึ้น
ปัจจุบัน เพนกวินจักรพรรดิถูกจัดอยู่ในสถานะ “ใกล้สูญพันธุ์” (Near Threatened) โดยสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ซึ่งหมายความว่า หากแนวโน้มโลกร้อนยังดำเนินต่อไปโดยไร้มาตรการควบคุม สัตว์สัญลักษณ์ของขั้วโลกใต้ชนิดนี้อาจกลายเป็น “สิ่งมีชีวิตที่กำลังหายไป” ในอนาคตอันใกล้
งานวิจัยนี้ไม่เพียงแค่เปิดเผยชะตากรรมของเพนกวินจักรพรรดิ แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นกับระบบนิเวศทั่วโลก เมื่อสภาพภูมิอากาศที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงด้วยน้ำมือของตน กำลังบีบให้สัตว์หลายชนิดต้องปรับตัวหรือสูญพันธุ์ การเร่งลดการปล่อยคาร์บอนและปกป้องสิ่งแวดล้อม จึงไม่ใช่เพียงภารกิจของนักวิทยาศาสตร์ หากแต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้
- นักเศรษฐศาสตร์โลกเตือน ลงทุนด้านภูมิอากาศคือทางรอด ยุคนี้ไม่มีที่ยืนให้พลังงานฟอสซิลอีกต่อไป
- พายุในแปซิฟิกตะวันตก มี 2 ประเทศน่าเป็นห่วงที่สุด
- ตัดไม้ทำลายป่า เสี่ยงน้ำท่วมเพิ่ม 8 เท่า งานวิจัยชี้ อนาคตมนุษย์อาจอยู่ไม่ได้
- โลกนี้อยู่ยาก ภัยพิบัติมากเกินไป ต้นเหตุหลักมาจากภาวะโลกร้อน
- มหาสมุทรอุ่นเร็วขึ้น คุกคามทะเลนิวซีแลนด์ โลกร้อนเปลี่ยนอนาคตของประเทศ
