
สรุปข่าว
การศึกษาที่จัดทำขึ้นทีมนักวิจัยจากสหราชอาณาจักร ทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการกินของกลุ่มผู้ใหญ่เกือบ 400,000 คนอังกฤษ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว ผู้คนจะบริโภคผักสดในปริมาณ 2 ทัพพีต่อวัน ส่วนผักที่ผ่านการปรุงสุกแล้วนั้นจะประมาณ 3 ทัพพี รวมเป็นปริมาณการบริโภคผักของผู้ใหญ่คือประมาณ 5 ทัพพีต่อวัน
ผลลัพธ์ที่น่าตกใจปรากฏออกมาว่า เมื่อเวลาผ่านไป การกินผักผลไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาหารที่ปรุงสุก ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ
เราเชื่อกันว่า การรับประทานอาหาราจากพืชดีต่อสุขภาพหัวใจและสุขภาพร่างกายโดยรวม มีงานวิจัยก่อนหน้านี้ ที่บอกกับเราว่า กลุ่มวัยรุ่นสามารถอายุยืนยาวเพิ่มขึ้น ราว 13 ปี เมื่อพวกเราบริโภคผักผลไม้ รวมทั้งธัญพืชและถั่วเพิ่มมากขึ้น
ถ้าเป็นเช่นนั้น งานวิจัยชิ้นล่าสุดกำลังบอกอะไรกับเรา
เมื่อเทียบผลการศึกษา ระหว่างคนที่กินผักเยอะโดยเฉพาะผักสด ที่ยังไม่ผ่านการทำอาหาร กับคนที่กินผักน้อยกว่า พบว่า คนที่กินผักสดเยอะมี ความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจลดลง 15 %
อย่างไรก็ดี เมื่อมาพิจารณาถึงพฤติกรรมต่างๆ ในการใช้ชีวิตชีวิตระจำวัน อย่างเช่น สูบหบี่หรือดื่มบ่อยแค่ไหน อาชีพที่ทำอยู่และรายได้ ซึ่งส่งผลต่อการเลือกซื้ออาหารบริโภค ทีมนักวิจัยกลับไม่พบหลักฐานความเชื่อมโยงระหว่างผลของการกินผักเพื่อป้องกันโรค กับ ความถี่ในการพบปัญหาที่เกี่ยวกับหัวใจ
“นี่เป็นการศึกษาที่สำคัญที่มีความหมายสำหรับการทำความเข้าใจสาเหตุอาหารของโรคหัวใจและหลอดเลือด” ด็อกเตอร์เบน ลาเซ่ จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าว
ผลของงานวิจัยนี้ อาจสรุปได้ว่า การกินผักสดช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ไม่ใช่ผักที่ผ่านการปรุงมาแล้ว
แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่ดี เพราะการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งก็คือ พืชผัก ทั้งหลาย ดีกับร่างกายเสมอ โดยช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดระดับของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะผลต่อการเป็นโรคหัวใจ
ปริมาณของผักสดที่ควรทานอยู่ที่ 5 ทัพพีต่อวัน ตามคำแนะนำของนักโภชนาการอังกฤษ เพราะว่า...
1.ผักและผลไม้อุดมด้วยวิตามิน ควรบริโภคประมาณ 5 ชอนโต๊ะต่อวัน
2.ในผักมีไฟเบอร์ ซึ่งดีต่อระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย แถมยังช่วยลดความเสี่ยงของลำไส้ได้ด้วย
3.ลดความเสี่ยงที่เกี่ยวโรคหัวใจและหลอดเลือด
4.ผักและผลไม้ช่วยสร้างนิสัยการกินที่ดีต่อสุขภาพ
5.ผักสดมีไขมันและแคลอรี้อยอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องผ่านการทอดหรือผัดที่ต้องใช้น้ำมัน
แหล่งข้อมูล BBC / CNN / Facebook: TNN Health
ที่มาข้อมูล : -

TNNThailand