วัดอุณหภูมิหุ้นไทย ตัวไหนน่าซื้อเติมพอร์ต เช็กที่นี่!

วัดอุณหภูมิหุ้นไทย ตัวไหนน่าซื้อเติมพอร์ต  เช็กที่นี่!

หุ้นไทยถูกเทกระจาดไม่หยุด แรงกดดันมาจาก 3 ส่วนหลัก คือ แพทยสภายืนยันตามมติเดิม ลงโทษแพทย์ 3 คน ปมร้อนชั้น 14 ประเด็นข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีท่าทียืดเยื้อ โดยกลับมาเบนเข็มตอบโต้เรื่องเศรษฐกิจมากขึ้น ผสมโรงความไม่สงบแถบตะวันออกกลางที่ปะทุขึ้นมาอีกระลอก  สะท้อนจากสถิติตั้งแต่ 4 มิ.ย.-12 มิ.ย.(mtd) ต่างชาติเทขายหุ้นไทยไปแล้ว  65 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,145 ล้านบาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยน 33 บาทต่อดอลลาร์)  มากสุดเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาค รองจากอินโดนีเซียขายสุทธิ 238 ล้านเหรียญสหรัฐ และเวียดนามขายสุทธิ 70 ล้านเหรียญสหรัฐ  ขณะที่ตลาดหุ้นที่เหลือต่างชาติซื้อสุทธิ เช่น เกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 3,683  ล้านเหรียญสหรัฐ ไต้หวันซื้อสุทธิ 524 ล้านเหรียญสหรัฐ และอินเดียซื้อสุทธิ 334 ล้านเหรียญสหรัฐ

หากย้อนไปดูเดือนพ.ค.ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมากสุดถึง 448 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ1.6 หมื่นล้านบาท  และฟิลิปปินส์ 259 ล้านเหรียญสหรัฐ   สวนทางกับตลาดหุ้นไต้หวันซื้อสุทธิ 7,567 ล้านเหรียญสหรัฐ  อินเดียซื้อสุทธิ 1,738 ล้านเหรียญสหรัฐ  เกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 887    ล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซียซื้อสุทธิ  337   ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนามซื้อสุทธิ 18 ล้านเหรียญสหรัฐ 

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร ท่ามกลางกระแสข่าว ปรับครม. อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านจะกดดันการลงทุนมากน้อยแค่ไหน วันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ

 เริ่มจาก ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส   ฉายภาพให้ฟังว่า   SET Index บอบช้ำกับประเด็นการเมืองมาระดับหนึ่งแล้ว โดยตลอด 1 เดือนปรับตัวลงมาเกิน -7% และเป็นการปรับตัวลงมามากสุดในโลก เชื่อว่าความผันผวนจากปัจจัยดังกล่าวน่าจะลดลง  ส่วนประเด็นสงครามในตะวันออกกลาง แม้อาจกดดันให้ Fund Flow ไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง แต่เชื่อว่าเม็ดเงินบางส่วนมีโอกาสเคลื่อนย้ายมาเพิ่มน้ำหนักในหุ้นพลังงานเพิ่มขึ้น  เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้นอิงราคาน้ำมันประมาณ  1 ใน 3 ของตลาดฯ (เป็นกลุ่มพลังงานและปิโตรฯ ถึง 22%) ขณะที่ตลาดหุ้นโลกมีสัดส่วนหุ้นพลังงานแค่ 3.6% เท่านั้น ส่งผลดีต่อ PTTPTTEPBCP ในทางกลับกันเป็น Sentiment ลบต่อหุ้นในกลุ่มสายการบิน และท่องเที่ยว 

  “ประเด็นในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีความอ่อนไหวต่อข่าวการเมืองอยู่แล้วตามสถิติ ในอดีต อาจทำให้เกิดความผันผวนระยะสั้น จากการขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุน กดดัน VOLUME หายอย่างมีนัย ฯ และอาจกินระยะเวลาหากมีการชุมนุมหรือความเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภาตามมา แต่จากสถิติในอดีตที่ผ่านมา หลังจากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายตลาดหุ้นไทยจะรีบาวด์กลับ”

 ปัจจัยบวกที่ต้องติดตาม

  •   การเตรียมวันเจรจาการค้าสหรัฐฯ-ไทย เกี่ยวกับ Tax Tariff, เม็ดเงิน Thaiesgx ในโค้งสุดท้าย 2 สัปดาห์, การอนุมัติเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า, คาดจะมีการประกาศรายชื่อหุ้นเข้า-ออก SET50 -100 ในสัปดาห์หน้า แนะนำเก็งกำไรหุ้นมีโอกาสเข้า SET50 รอบ 2Q68 อย่าง BCPTIDLOR

ปัจจัยลบที่ต้องติดตาม

  •  15 มิ.ย. 68 คดี “ฮั้ว ส.ว.” ถูกยกระดับ
  •  กระแสการปรับ ครม.เข้มข้นขึ้น
  • ความเสี่ยงการชุมนุมนอกสภา
  • ความคืบหน้าสงครามอิหร่าน-อิสราเอล

 โดยประเมินกรอบแนวรับ SET Index  สัปดาห์หน้าไว้ที่ 1,108 – 1,119 จุด ส่วนกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,140 – 1,150 จุด   

 หุ้นเด่นแนะนำ

  • PTT     ราคาเป้าหมาย 38.00  บาท ได้ Sentiment บวกเรื่องสงคราม มีการทยอยซื้อหุ้นคืนจากบริษัท และราคายัง Laggard ราคาน้ำมันโลก
  • BCP     ราคาเป้าหมาย 46.00 บาท  ได้ Sentiment บวกเรื่องสงคราม และมีโอกาสเข้าดัชนี SET50 ในรอบถัดไป
  • WHA   ราคาเป้าหมาย   4.80 บาท   มีการขายที่ดิน Lot ใหญ่ให้จีน เพื่อสร้าง Data Centre ระดับ Hyper Scale
  • PR9     ราคาเป้าหมาย 10.60 บาท   คาดกำไร 2Q68 โดดเด่นกว่ากลุ่ม มีโอกาสเติบโตทั้ง QoQ และ YoY

สรุปข่าว

ต่างชาติทิ้งหุ้นไทยช่วงต้นเดือนมิ.ย.กว่า 2,145 ล้านบาท แรงกดดันจากสารพัดปัจจัยเสี่ยงภายใน-ภายนอกประเทศรุมเร้า แต่ราคาหุ้นไทยไม่แพง ควรทยอยซื้อสะสมเติมพอร์ต โบรกคาดการเมืองมีเสถียรภาพหุ้นไทยฟื้นกลับเหมือนในอดีต

หุ้นไทยถูกเทกระจาดไม่หยุด แรงกดดันมาจาก 3 ส่วนหลัก คือ แพทยสภายืนยันตามมติเดิม ลงโทษแพทย์ 3 คน ปมร้อนชั้น 14 ประเด็นข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีท่าทียืดเยื้อ โดยกลับมาเบนเข็มตอบโต้เรื่องเศรษฐกิจมากขึ้น ผสมโรงความไม่สงบแถบตะวันออกกลางที่ปะทุขึ้นมาอีกระลอก  สะท้อนจากสถิติตั้งแต่ 4 มิ.ย.-12 มิ.ย.(mtd) ต่างชาติเทขายหุ้นไทยไปแล้ว  65 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,145 ล้านบาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยน 33 บาทต่อดอลลาร์)  มากสุดเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาค รองจากอินโดนีเซียขายสุทธิ 238 ล้านเหรียญสหรัฐ และเวียดนามขายสุทธิ 70 ล้านเหรียญสหรัฐ  ขณะที่ตลาดหุ้นที่เหลือต่างชาติซื้อสุทธิ เช่น เกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 3,683  ล้านเหรียญสหรัฐ ไต้หวันซื้อสุทธิ 524 ล้านเหรียญสหรัฐ และอินเดียซื้อสุทธิ 334 ล้านเหรียญสหรัฐ

หากย้อนไปดูเดือนพ.ค.ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยมากสุดถึง 448 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ1.6 หมื่นล้านบาท  และฟิลิปปินส์ 259 ล้านเหรียญสหรัฐ   สวนทางกับตลาดหุ้นไต้หวันซื้อสุทธิ 7,567 ล้านเหรียญสหรัฐ  อินเดียซื้อสุทธิ 1,738 ล้านเหรียญสหรัฐ  เกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 887    ล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซียซื้อสุทธิ  337   ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนามซื้อสุทธิ 18 ล้านเหรียญสหรัฐ 

สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร ท่ามกลางกระแสข่าว ปรับครม. อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านจะกดดันการลงทุนมากน้อยแค่ไหน วันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ

 เริ่มจาก ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส   ฉายภาพให้ฟังว่า   SET Index บอบช้ำกับประเด็นการเมืองมาระดับหนึ่งแล้ว โดยตลอด 1 เดือนปรับตัวลงมาเกิน -7% และเป็นการปรับตัวลงมามากสุดในโลก เชื่อว่าความผันผวนจากปัจจัยดังกล่าวน่าจะลดลง  ส่วนประเด็นสงครามในตะวันออกกลาง แม้อาจกดดันให้ Fund Flow ไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง แต่เชื่อว่าเม็ดเงินบางส่วนมีโอกาสเคลื่อนย้ายมาเพิ่มน้ำหนักในหุ้นพลังงานเพิ่มขึ้น  เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้นอิงราคาน้ำมันประมาณ  1 ใน 3 ของตลาดฯ (เป็นกลุ่มพลังงานและปิโตรฯ ถึง 22%) ขณะที่ตลาดหุ้นโลกมีสัดส่วนหุ้นพลังงานแค่ 3.6% เท่านั้น ส่งผลดีต่อ PTTPTTEPBCP ในทางกลับกันเป็น Sentiment ลบต่อหุ้นในกลุ่มสายการบิน และท่องเที่ยว 

  “ประเด็นในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีความอ่อนไหวต่อข่าวการเมืองอยู่แล้วตามสถิติ ในอดีต อาจทำให้เกิดความผันผวนระยะสั้น จากการขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุน กดดัน VOLUME หายอย่างมีนัย ฯ และอาจกินระยะเวลาหากมีการชุมนุมหรือความเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภาตามมา แต่จากสถิติในอดีตที่ผ่านมา หลังจากสถานการณ์การเมืองคลี่คลายตลาดหุ้นไทยจะรีบาวด์กลับ”

 ปัจจัยบวกที่ต้องติดตาม

  •   การเตรียมวันเจรจาการค้าสหรัฐฯ-ไทย เกี่ยวกับ Tax Tariff, เม็ดเงิน Thaiesgx ในโค้งสุดท้าย 2 สัปดาห์, การอนุมัติเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า, คาดจะมีการประกาศรายชื่อหุ้นเข้า-ออก SET50 -100 ในสัปดาห์หน้า แนะนำเก็งกำไรหุ้นมีโอกาสเข้า SET50 รอบ 2Q68 อย่าง BCPTIDLOR

ปัจจัยลบที่ต้องติดตาม

  •  15 มิ.ย. 68 คดี “ฮั้ว ส.ว.” ถูกยกระดับ
  •  กระแสการปรับ ครม.เข้มข้นขึ้น
  • ความเสี่ยงการชุมนุมนอกสภา
  • ความคืบหน้าสงครามอิหร่าน-อิสราเอล

 โดยประเมินกรอบแนวรับ SET Index  สัปดาห์หน้าไว้ที่ 1,108 – 1,119 จุด ส่วนกรอบแนวต้านอยู่ที่ 1,140 – 1,150 จุด   

 หุ้นเด่นแนะนำ

  • PTT     ราคาเป้าหมาย 38.00  บาท ได้ Sentiment บวกเรื่องสงคราม มีการทยอยซื้อหุ้นคืนจากบริษัท และราคายัง Laggard ราคาน้ำมันโลก
  • BCP     ราคาเป้าหมาย 46.00 บาท  ได้ Sentiment บวกเรื่องสงคราม และมีโอกาสเข้าดัชนี SET50 ในรอบถัดไป
  • WHA   ราคาเป้าหมาย   4.80 บาท   มีการขายที่ดิน Lot ใหญ่ให้จีน เพื่อสร้าง Data Centre ระดับ Hyper Scale
  • PR9     ราคาเป้าหมาย 10.60 บาท   คาดกำไร 2Q68 โดดเด่นกว่ากลุ่ม มีโอกาสเติบโตทั้ง QoQ และ YoY

ฝั่ง “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์"   AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย  บล.กรุงศรี   ย้อนภาพตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า SET ปิด 1,123.37 จุด หรือ   -1.11% จากสัปดาห์ก่อน โดยประเด็นสำคัญที่กดดันตลอดสัปดาห์  คือ การเมืองในประเทศ ทั้งกระแสการชุมนุมไล่อดีตนายก กรณีคดีชั้น 14 มิ.ย. รวมถึงสถานการณ์การเมืองที่นายกฯแจ้งปรับ ครม. ที่ตลาดยังรอดูผลตอบรับพรรคภูมิใจไทย รวมถึงคดีชั้น 14 คุณทักษิณฯ  โดยรวมหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่นระหว่างสัปดาห์ และประเด็นต่างประเทศ สงครามในตะวันออกกลาง และกระแสสงครามทางการค้า โดยตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย. – ปัจจุบันต่างชาติเทขายหุ้นไทยไปแล้ว 1.78 พันล้านบาท 

ส่วนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าคาด “แกว่งในกรอบ”  แนวต้านอยู่ที่ 1,136-1,145 จุด แนวรับแรกที่ 1,115 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,000จุด  เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมยังเป็นลบ ทั้งภาวะลงทุนที่ Risk-off จากสถานการณ์ตะวันออกกลางที่ตึงเครียดและการเมืองภายในที่มีความไม่แน่นอน ส่วนปลายสัปดาห์ FTSE Rebalance เป็นภาพ net outflows -150 ล้านเหรียญฯ  แต่ SET อยู่ในโซนลงทุน Current Equity Risk Premium ที่ 5.5% หรือ > AVG+ 2 S.D. แล้ว  

ดังนั้นกลยุทธ์ เน้นลงทุนหุ้นที่มีแรงหนุนทางบวก อาทิ น้ำมัน+โรงกลั่น ได้ประโยชน์สถานการณ์ตะวันออกกลาง, หุ้น Defensive อาทิ ร.พ. และกลุ่มสื่อสาร นอกจากนี้ เก็งหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีจิตวิทยาบวก และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดมีท่าทีระมัดระวังนโยบายการเงิน

หุ้นเด่นแนะนำ

  •  ADVANC  (TP-340):   หุ้น Defensive ที่อุตฯเป็น Upcycle เหมาะกับภาวะปัจจุบัน
  • CPF (TP-35) : พัฒนาการนัดเจรจาการค้าสหรัฐฯ – ไทยที่ใกล้เกิดขึ้นมีโอกาสเป็นแรงหนุน
  • PTTGC (TP-28) : ธุรกิจโรงกลั่นรับผลบวกสถานการณ์ตะวันออกกลาง + พัฒนาการนัดเจรจาการค้าสหรัฐฯ – ไทยที่ใกล้เกิดขึ้นมีโอกาสเป็นแรงหนุน

 

ประเด็นต่างประเทศ-ในประเทศที่ต้องติดตาม

  • 16 มิ.ย. ติดตามรายงานกิจกรรมเศรษฐกิจ พ.ค. ของจีน ได้แก่ ดัชนีการผลิตภาคอุตฯ คาด +6.0% จากเดิมอยู่ที่ +6.1%y-y, ดัชนีค้าปลีก คาด  +4.9%y-y จากเดิมอยู่ที่ +5.1%y-y, การลงทุนสินทรัพย์คงทน คาด +4.0%ytd y-y เท่าเดือนก่อน
  •  17-18 มิ.ย. การประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด คาดคงดอกเบี้ย 4.25 – 4.5% และ Dot Plot 
  • สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
  • 17 มิ.ย. ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ บีโอเจ คาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% และปรับลดอัตราการชะลอการซื้อ JGB (Japan Government Bond) จาก 4 แสนล้านเยนต่อไตรมาสเหลือ 2 แสนล้านเยนต่อไตรมาส 
  • การเจรจาการค้าไทย - สหรัฐฯ หลังเริ่มมีกระบวนการนัดหมายวันที่จะเจรจาร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสหรัฐฯ 
  •  ️สถานการณ์การเมืองภายใน หลังนายกฯ แจ้งขอปรับ ครม. 
  • ️20 มิ.ย. ดัชนี FTSE Rebalance รอบ มิ.ย. 25 มีผล คาด Net Outflows -150 ล้านเหรียญฯ

ปิดท้ายที่ "วทัญ จิตต์สมนึก" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย  ประเมินว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับลง 1.5% รับแรงกดดันจากปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะทิศทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ตามการชะลอลงของจำนวนนักท่องเที่ยว แม้จะมีปัจจัยหนุนจากเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนก็ตาม แนวโน้มสัปดาห์หน้ายังน่าจะเสี่ยงปรับฐานหรือหากปรับขึ้นก็มอง Upside ไม่ได้เยอะมาก ด้วยพื้นฐานที่ค่อนข้างย่ำแย่ทั้งจากเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน ประกอบกับมีแรงกดดันจากความตึงเครียดของตะวันออกกลาง 

ปัจจัยต้องติดตาม ได้แก่ ประชุม FED ทราบผลช่วงเช้าตามเวลาประเทศไทยในวันพฤหัสบดี นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าที่ประชุมจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.5%  แต่แนะติดตามถ้อยแถลงผสานกับประมาณการเศรษฐกิจต่างๆ ประเมินกรอบ SET 1,090 – 1,145 จุด

หุ้นเด่นแนะนำ  

  • WHA ขายที่ดินล๊อตใหญ่ให้จีน ผุดดาต้าเซ็นเตอร์ 7 หมื่นล้านบาท โดยการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ดังกล่าว เราคาดว่าจะมีมูลค่าในส่วนของที่ดินประมาณ 7,000 ล้านบาท (ประมาณ 10% ของเงินลงทุน) หากคิดจากราคาขายเฉลี่ยที่ระดับ 5 ล้านบาทต่อไร่ จะทำให้ WHA ขายที่ดินได้ประมาณ 1,400 ไร่ เมื่อรวมกับยอดขายที่ทำได้จริงในช่วง 1Q25 กว่า 800 ไร่ จะทำให้มียอดขายสะสมแล้วกว่า 2,200 ไร่ เราจึงมองว่าเป้ายอดขายทั้งปีที่ผู้บริหารคาดไว้ที่ 2,350 ไร่ น่าจะเป็นระดับที่ต่ำไป และอาจจะเห็นการปรับเป้ายอดขายที่ดินจากทางผู้บริหารหลังการประกาศผลประกอบการงวด 2Q25 ในเดือน ส.ค. นี้

ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์

ที่มารูปภาพ : ตะวันออกกลาง

นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน