
สรุปข่าว
วันนี้( 1 มี.ค.65) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ความไม่แน่นอนของโควิด-19 รวมถึงผลกระทบจากความไม่สงบในยูเครนที่อาจยืดเยื้อ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้คาดว่า ปี 2565 ธุรกิจ B2C E-commerce กลุ่มสินค้า แม้อาจขยายตัวราว 13.5% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 5.65 แสนล้านบาท แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงและต่ำสุดเทียบกับ 3 ปีก่อนหน้า ที่ขยายตัวเฉลี่ย 40% ต่อปี
อีกทั้งการเติบโตของธุรกิจ หลักๆ แล้วน่าจะไม่ได้เกิดจากค่าใช้จ่ายในภาพรวมของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น แต่เป็นการปรับพฤติกรรมและช่องทางการซื้อขายสินค้า,ของแพงจากหน้าร้าน (Physical stores) มาเป็นออนไลน์ (E-Commerce) มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอาหารและของใช้ส่วนตัว ที่เดิมผู้บริโภคซื้อผ่านไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต และคอนวีเนี่ยนสโตร์ ก็หันมาซื้อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้ประกอบการกลุ่มนี้มากขึ้น แต่ในขณะที่ยอดขายในภาพรวมของผู้ประกอบการอาจจะยังโตในกรอบที่จำกัด และเป็นผลของราคาเป็นหลัก
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น รวมถึงราคาค่าขนส่งสินค้าที่อาจจะแพงขึ้นตามราคาน้ำมันที่พุ่งสูง ซึ่งน่าจะมีผลกระทบต่อภาพรวมการเติบโตของธุรกิจ E-commerce ตามมา ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องวางแผนรับมือกับปัจจัยท้าทายต่างๆ ข้างต้น โดยเฉพาะการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของการให้บริการออนไลน์ที่ดีสม่ำเสมอ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ท่ามกลางประเภทของสินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์แตกต่างกันน้อยลง
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ภาพประกอบ: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ที่มาข้อมูล : -

TNNThailand