นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินและตลาดทุนจาก Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เงินบาทยังเคลื่อนไหวแบบ Sideways โดยมีแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น และตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังเปิดรับความเสี่ยง ทว่าเช้าวันนี้ เงินบาทกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง หลัง Moody’s ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐฯ เหลือระดับ Aa1 ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และนักลงทุนหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและเงินเยน

ปัจจัยเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องจับตา

สหรัฐฯ: ตลาดรอลุ้นข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการ รวมถึงการพัฒนาของร่างกฎหมาย Fiscal Bill ที่อาจมีผลต่อการลดภาษีและการใช้จ่ายภาครัฐ หากมีความคืบหน้าเชิงบวก อาจหนุนค่าเงินดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนยังคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 1–2 ครั้งในปีนี้
ยุโรป: ติดตามข้อมูลดัชนี PMI, ยอดค้าปลีก และอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษ รวมถึงรายงานการประชุมและถ้อยแถลงจาก ECB ที่จะส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยยุโรป
จีน: รายงานยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเมษายนจะสะท้อนทิศทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดคาดว่า PBOC อาจลดอัตราดอกเบี้ย LPR เพื่อลดแรงกดดันเศรษฐกิจ
ญี่ปุ่นและเอเชีย: ติดตามรายงาน PMI และอัตราเงินเฟ้อ CPI ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า RBA และ BI อาจลดดอกเบี้ยเช่นกัน
ไทย: เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกอาจขยายตัวได้ราว +2% จากแรงหนุนของการส่งออกและท่องเที่ยว แต่การบริโภคและการลงทุนเอกชนอาจชะลอลงจากความไม่แน่นอนเชิงนโยบายการค้าโลก

แนวโน้มเงินบาทและคำแนะนำ

แม้เงินบาทจะมีโมเมนตัมอ่อนค่า แต่ยังเผชิญความผันผวนจากหลายปัจจัย ทั้งราคาทองคำ (ซึ่งมีความสัมพันธ์กับค่าเงินบาทถึง 82%) การไหลออกของเงินปันผลนักลงทุนต่างชาติ (คาดสูงถึง 9.5 พันล้านบาท) และทิศทางค่าเงินในภูมิภาค โดยเฉพาะเงินหยวน

กรุงไทยแนะนำผู้ประกอบการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น เช่น สัญญา Forward, Options และธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น เพื่อรับมือกับภาวะผันผวนของตลาดเงินในปัจจุบัน