หุ้นไทยปิดบวก 0.29 จุด เพราะยังไร้ปัจจัยใหม่มาช่วยหนุนตลาด

หุ้นไทยปิดบวก  0.29 จุด เพราะยังไร้ปัจจัยใหม่มาช่วยหนุนตลาด

สรุปข่าว

วันนี้( 8 มิ.ย.64) ตลาดหลักทรัพย์ ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,612.88 จุด เพิ่มขึ้น 0.29 จุด (+0.02%) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 100,259.61 ล้านบาท โดยดัชนีเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ แม้ปัจจัยในประเทศจะเริ่มให้มีการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนทั่วไป แต่ความสามารถในการกระจายวัคซีนยังทำได้น้อย


โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,618.70 จุด และระดับต่ำสุด 1,605.31 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 618 หลักทรัพย์ ลดลง 967 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 519 หลักทรัพย์


นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งไซด์เวย์ในกรอบแคบหลังจากที่ไม่มีประเด็นบวกใหม่เข้ามา ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งตลาดหุ้นเอเชีย, ตลาดยุโรป และดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส ช่วงรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันที่ 10 มิ.ย.ก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กลางเดือนนี้ ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อจะมีผลต่อการพิจารณา QE ของสหรัฐฯ


อีกทั้ง ราคาน้ำมันที่อ่อนลงยังทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานไม่หนุนตลาด ตลาดฯวันนี้จึงเป็นลักษณะการเลือกเล่นหุ้นรายตัวตามปัจจัยเฉพาะตัว โดยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมืองปรับตัวขึ้นได้ดี อย่าง CPN, CRC เป็นต้น แนะจับตาการกระจายการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะมีความต่อเนื่องหรือไม่ หลังจากคาดว่าช่วง 2-3 วันแรกน่าจะฉีดวัคซีนได้มาก แต่หลังจากนั้นอาจจะต้องรอดูต่อไปว่าจะสะดุดหรือไม่ พร้อมมองในช่วง 3 เดือนข้างหน้า หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมืองจะ Outperform ตลาดฯ โดยมีโอกาสโยกการลงทุนจากหุ้น Global plays เข้ามาที่ Domestic plays

 

สำหรับ แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (9 มิ.ย.) คาดว่า ตลาดฯคงจะยังแกว่งไซด์เวย์ต่อไปในช่วงรอตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ พร้อมให้แนวรับ 1,605 จุด ส่วนแนวต้าน 1,625 จุด


ด้านนายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ กล่าวว่า ครึ่งปีหลังนี้คาดว่าหุ้นกลุ่มวัฏจักร เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน พลังงาน อุตสาหกรรม อาจหมดความร้อนแรงในการปรับขึ้น เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจใกล้จุดสูงสุดแล้ว หลังจากฟื้นตัวช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา จึงแนะนำนักลงทุนปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนหันมาเน้นกลุ่มเทคโนโลยีทางชีวภาพ ซึ่งในช่วงโควิดระบาดนั้น มีบทบาทอย่างมากทั้งการคิดค้นวัคซีนและยาที่ใช้ในการรักษา นอกจากนี้ยังมียารักษาโรคอื่นๆ ที่อยู่ในระหว่างการวิจัยกว่า 7,000 รายการ


หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่  

1.  KBANK   มูลค่าการซื้อขาย  6,025.26 ล้านบาท  ปิดที่ 124.50 บาท เพิ่มขึ้น  3.50 บาท

2.  IVL     มูลค่าการซื้อขาย  2,978.37 ล้านบาท  ปิดที่  43.00 บาท ลดลง   1.75 บาท

3.  BANPU   มูลค่าการซื้อขาย  2,370.79 ล้านบาท  ปิดที่  14.60 บาท เพิ่มขึ้น  0.60 บาท

4.  PTTGC   มูลค่าการซื้อขาย  2,198.03 ล้านบาท  ปิดที่  61.75 บาท ลดลง   1.25 บาท

5.   PTT     มูลค่าการซื้อขาย  2,026.08 ล้านบาท  ปิดที่  40.50 บาท ลดลง   0.75 บาท

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

avatar

TNNThailand