
สรุปข่าว
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/64 ยังเผชิญความเสี่ยงจากต่างประเทศ และความเสี่ยงจากในประเทศ โดยประเด็นต่างประเทศ คือ การเดินหน้าส่งสัญญาณลดระดับการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เพราะหาก Fed เริ่มส่งสัญญาณปรับลดวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตร (QE Tapering) ตลาดคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในช่วง ปลาย ส.ค.64 หากเกิดขึ้นจะสร้างแรงกดดันต่อตลาด และผลักให้ Fund Flow ไหลออกได้ในบางจังหวะ
สำหรับความเสี่ยงในประเทศยังคงเป็นการะบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ สายพันธุ์ Delta, ที่แพร่ระบาดได้รวดเร็ว กดดันรัฐบาลกลับมาดำเนินมาตร การควบคุมโรคอีกครั้งระยะเวลา 1 เดือน (ปลาย มิ.ย – ปลาย ก.ค.64) เช่น ปิดสถานที่เสี่ยง (ร้านอาหาร, สถานบันเทิง) เป็นประเด็นที่ต้องติดตามจะยืดเยื้อยาวนานเพียงใด คาดว่าจะส่งผลให้ GDP ไทย งวด 2-3Q64 ชะลอตัวลงในและมีโอกาสติดลบทั้ง %qoq และ %yoy ก่อนที่จะไปฟื้นงวด 4Q64
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า GDP ทั้งปี 2564 อยู่ีที่ 1.7% น่าจะไม่ชะลอไปมากเท่าปี 2563 เนื่องจากในปีนี้ภาคส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นชัดเจน เห็นได้จาก ธปท คาดทั้งปี 2564 จะขยายตัว ที่ 17% รวมถึงการเร่งกระจายวัคซีนในช่วง 3Q64 ของรัฐบาลน่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
ส่วนกำไรของบริษัทจดทะเบียนน่าจะผ่านจุดสูงสุด (Peak) มาแล้วในงวด 1Q64 ที่มีกำไรสุทธิ 2.6 แสนล้านบาท เติบโต 135%โดยช่วง 9 เดือนที่เหลือของปี คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรสุทธิรวม 5.45 แสนล้านบาท เติบโต 11.7% ซึ่งน้อยกว่าไตรมาสแรกที่เติบโต 135%
นอกจากนี้มาตรการควบคุม COVID-19 ที่ ณ ปัจจุบัน ดำเนินมาเป็นเวลาถึง 3 เดือนครึ่ง จาก 9 เดือนที่เหลือของปี ทั้งมาตรการแบ่งโซนสี และมาตรการคุมเข้ม 10 จังหวัด น่าจะกดดัน EPS ของตลาด ที่ปัจจุบัน Consensus คาดไว้ที่ระดับ 83 บาท/หุ้น ให้มีโอกาสการปรับประมาณการลง หากความเสี่ยงต่างๆยืดเยื้อนานขึ้น ส่วน ASPS ประเมิน EPS ไว้ที่ 71.2 บาท/หุ้น นับว่าค่อนข้างต่ำกว่าตลาดพอสมควร
ขณะที่ Fund Flow จากต่างชาติคาดหวังได้ยากขึ้น จากสถานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบัน บวกกับความกังวลเรื่อง QE Tapering เพิ่มขึ้น ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะเข้ามาปกคลุมตลาดหุ้นอยู่เป็นระยะ อีกทั้งค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า กดดันให้ต่างชาติมีโอกาสเผชิญการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign exchange loss: FX loss) จากการลงทุน ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยต้องหวังพึ่งเม็ดเงินลงทุนจากในประเทศเป็นหลัก เห็นได้จากเม็ดเงินใหม่จากการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยช่วงเดือน ม.ค. - พ.ค. ที่ผ่่านมา มียอดเปิดบัญชีสูงถึง 1.03 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 231% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การลงทุนในช่วง 3Q64 ท่ามกลางความเสี่ยงจากรอบด้าน ประเมินแนวรับสำคัญไว้ที่บริเวณ 1,510 จุด แนวต้านที่ 1,644 จุด กลยุทธ์แนะนำ Selective Buy หลบความผันผวนไปหาหุ้นพื้นฐานดีที่มีแรงหนุนเฉพาะตัว และเป็นเป้าหมายของ Fund Flow ในประเทศ เช่น BLA, BDMS, TFG, MCS, GPSC, BJC และ CENTEL

- พาณิชย์สั่งห้าม ATK ขาด-ห้ามแพง ย้ำผู้ค้าต้องเติมสต๊อกทันที
- “หุ้นไทย” หมดแรง GDP-EPS โดนหั่นเรียบ “ภาษีสหรัฐฯ” ตัดสิน ไปต่อหรือรอ “1,000 จุด”
- โควิด NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์หลักในไทยแล้ว มีแนวโน้มมากขึ้น
- วัคซีนโควิด-19 ไม่ถูกถอดจากรายชื่อวัคซีนแนะนำในสหรัฐฯ
- หุ้นไทยไร้เสน่ห์ เพราะอะไร "หลบภัยตัวไหนดี"
- โควิด-19 ระบาดหลายภูมิภาค! "สายพันธุ์ NB.1.8.1" แพร่กระจายเร็ว อย่าชะล่าใจ
ที่มาข้อมูล : -
TNNThailand