นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ทั่วโลกกังวลต่อมาตรการ "ทรัมป์" มาก เพราะความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างเข้มข้นและการขึ้นภาษีของสหรัฐ ตามนโยบายทรัมป์ 2.0 อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก
และอาจบั่นทอนเศรษฐกิจโลกจากที่คาดว่าปี 2568 จะโตร้อยละ 2.7 อาจลดลงอีกร้อยละ 0.3 เหลือร้อยละ 2.4 และยังมองถึงปี 2569 คาดว่าจะลดลงอีก หากยังทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยในช่วงทรัมป์ 1 ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐอยู่ในอันดับ 12 ขยับจากอันดับ 14 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2567
โดยตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการอาจอยู่ที่อันดับ 9 ดังนั้น ทรัมป์จะจับตาดูเป็นกรณีพิเศษ แล้วใช้มาตรการทางการค้ากับประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐมากขึ้น โดยเพิ่มค่าเงินให้แข็งกับประเทศคู่ค้าในข้อหาบิดเบือนค่าเงินกับสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐเกือบร้อยละ 20 จะส่งผลต่อต้นทุนที่แพงขึ้น
ดังนั้น ส.อ.ท.จึงมีข้อเสนอแนะให้ภาครัฐจัดตั้งวอร์รูม เพื่อเตรียมแนวทางรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐ เพื่อลดผล กระทบกับภาคการส่งออกของไทยและรับมือกับผลกระทบทางอ้อม รวมทั้งสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการขยายตลาดกับสหรัฐ
เนื่องจากทรัมป์จะเปลี่ยนระบบการค้าแบบพหุภาคี ไปทวิภาคี เพื่อเจรจาเป็นคู่ๆ รัฐบาลต้องเตรียมล็อบบี้ยีสต์ที่เข้มแข็งในการเจรจาแลกเปลี่ยนผลกระโยชน์แบบวินวิน เพื่อให้ทุกฝ่าย รวมถึงประเทศไทยได้ประโยชน์
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเร่งขยายผลความสำเร็จจากการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ไปสู่การเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป เพื่อขยายโอกาสทางการค้า รวมถึงหาตลาดใหม่เพิ่มเติม รองรับสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐ เพราะหากยังมุ่งเป้าส่งออกไปที่เดิมๆ จะเป็นความเสี่ยง
ยกตัวอย่าง ช่วงที่จีนโดนสงครามการค้าจากทรัมป์ 1 ได้ใช้วิธีหาตลาดใหม่ ส่งผลให้จีนสามารถลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐจากเดิมร้อยละ 27 เหลือไม่ถึงร้อยละ 20 ในปัจจุบัน โดยเฉพาะตลาดตะวันออกเฉียงใต้
สรุปข่าว
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ทั่วโลกกังวลต่อมาตรการ "ทรัมป์" มาก เพราะความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างเข้มข้นและการขึ้นภาษีของสหรัฐ ตามนโยบายทรัมป์ 2.0 อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก
และอาจบั่นทอนเศรษฐกิจโลกจากที่คาดว่าปี 2568 จะโตร้อยละ 2.7 อาจลดลงอีกร้อยละ 0.3 เหลือร้อยละ 2.4 และยังมองถึงปี 2569 คาดว่าจะลดลงอีก หากยังทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยในช่วงทรัมป์ 1 ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐอยู่ในอันดับ 12 ขยับจากอันดับ 14 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2567
โดยตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการอาจอยู่ที่อันดับ 9 ดังนั้น ทรัมป์จะจับตาดูเป็นกรณีพิเศษ แล้วใช้มาตรการทางการค้ากับประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐมากขึ้น โดยเพิ่มค่าเงินให้แข็งกับประเทศคู่ค้าในข้อหาบิดเบือนค่าเงินกับสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐเกือบร้อยละ 20 จะส่งผลต่อต้นทุนที่แพงขึ้น
ดังนั้น ส.อ.ท.จึงมีข้อเสนอแนะให้ภาครัฐจัดตั้งวอร์รูม เพื่อเตรียมแนวทางรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐ เพื่อลดผล กระทบกับภาคการส่งออกของไทยและรับมือกับผลกระทบทางอ้อม รวมทั้งสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการขยายตลาดกับสหรัฐ
เนื่องจากทรัมป์จะเปลี่ยนระบบการค้าแบบพหุภาคี ไปทวิภาคี เพื่อเจรจาเป็นคู่ๆ รัฐบาลต้องเตรียมล็อบบี้ยีสต์ที่เข้มแข็งในการเจรจาแลกเปลี่ยนผลกระโยชน์แบบวินวิน เพื่อให้ทุกฝ่าย รวมถึงประเทศไทยได้ประโยชน์
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเร่งขยายผลความสำเร็จจากการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ไปสู่การเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป เพื่อขยายโอกาสทางการค้า รวมถึงหาตลาดใหม่เพิ่มเติม รองรับสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐ เพราะหากยังมุ่งเป้าส่งออกไปที่เดิมๆ จะเป็นความเสี่ยง
ยกตัวอย่าง ช่วงที่จีนโดนสงครามการค้าจากทรัมป์ 1 ได้ใช้วิธีหาตลาดใหม่ ส่งผลให้จีนสามารถลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐจากเดิมร้อยละ 27 เหลือไม่ถึงร้อยละ 20 ในปัจจุบัน โดยเฉพาะตลาดตะวันออกเฉียงใต้
- ทรัมป์ถอน “จาเร็ด ไอแซกแมน” เพื่อนอีลอน มัสก์ ออกจากการเสนอชื่อเป็นผู้บริหารองค์การนาซาคนใหม่
- ทรัมป์ลุยเพิ่มภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม 50% หวังดันอุตสาหกรรมในประเทศ
- "ทรัมป์" ชื่นชม "อีลอน มัสก์" ย้ำมัสก์ไม่ได้ลาขาดจาก DOGE จะกลับมาเป็นพัก ๆ
- ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากเดิม 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 50 เปอร์เซ็นต์
- "ธนาคารอาคารสงเคราะห์"ปล่อยกู้สินเชื่อใหม่ 8 หมื่นล้านบาท
- คาดยอดขาย"สมาร์ตโฟน"ปี 2568 โตแผ่ว
- "ธนาคารแห่งประเทศไทย"ชี้งบ 1.57 แสนล้าน ช่วย"เศรษฐกิจ"ปรับตัวได้
TNNThailand