นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings (S&P) รายงานการวิเคราะห์อันดับ ความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ระดับ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ ที่ระดับมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ S&P คาดว่า ในปี 2568 และ 2569 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2.3 และ 2.6 ตามลำดับ เนื่องจากปัจจัยความเสี่ยงภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายการจัดเก็บ ภาษีศุลกากรตอบโต้ ของสหรัฐอเมริกาอีกทั้งอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง คาดว่า ในช่วงปี 2568 – 2571 จะเติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.8 ขณะที่รายได้ต่อหัว
ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นจาก 7,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 8,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สรุปข่าว
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings (S&P) รายงานการวิเคราะห์อันดับ ความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือ ที่ระดับ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ ที่ระดับมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ S&P คาดว่า ในปี 2568 และ 2569 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2.3 และ 2.6 ตามลำดับ เนื่องจากปัจจัยความเสี่ยงภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายการจัดเก็บ ภาษีศุลกากรตอบโต้ ของสหรัฐอเมริกาอีกทั้งอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง คาดว่า ในช่วงปี 2568 – 2571 จะเติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 2.8 ขณะที่รายได้ต่อหัว
ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นจาก 7,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 8,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ S&P มองว่า รัฐบาลไทยจะยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่ง โดยคาดว่าการลงทุนของรัฐวิสาหกิจและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ของประเทศ และการลงทุนในโครงการเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะต่อไป
หนี้ภาครัฐบาลสุทธิต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจคาดว่า ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.3 อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับรัฐบาลอาจมีการนำเงินจากโครงการ Digital Wallet วงเงินประมาณ 157,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสนับสนุนโครงการลงทุนอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงมีภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องอันเป็น ผลจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด โดยคาดว่า ตั้งแต่ปี2567 – 2571 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุลเฉลี่ย ร้อยละ 1.6 อีกทั้งประเทศไทยยังคงมีฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่งและมีทุนสำรองระหว่างประเทศ ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง