นายพนมกร จิระเสถียรพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริการ Dine Out เริ่มเปิดตัวในไทยตั้งแต่ปี 2566 เพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันกลับมากินข้าวนอกบ้านมากขึ้นหลังโควิด-19 หรือที่เรียกว่าเทรนด์ "Revenge Dining" โดยในช่วงแรก GrabFood มุ่งเน้นการขายดีลส่วนลด ซึ่งได้รับการตอบรับดีเป็นพิเศษจากกลุ่มวัยทำงาน ส่งผลให้ยอดการซื้อดีลเติบโตสูงกว่า 2 เท่า หรือ 250% ในปีที่ผ่านมา
หลังควบรวมกิจการกับ Chope GrabFood ได้นำจุดแข็งด้านเทคโนโลยีและเครือข่ายพันธมิตรด้านร้านอาหารมาผสานเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถให้บริการ Dine Out ได้ครบวงจรทั้งการ จองโต๊ะร้านอาหาร และ ซื้อดีลส่วนลด ผ่านแอปพลิเคชันเดียว ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายและความคุ้มค่า
สรุปข่าว
นายพนมกร จิระเสถียรพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริการ Dine Out เริ่มเปิดตัวในไทยตั้งแต่ปี 2566 เพื่อตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันกลับมากินข้าวนอกบ้านมากขึ้นหลังโควิด-19 หรือที่เรียกว่าเทรนด์ "Revenge Dining" โดยในช่วงแรก GrabFood มุ่งเน้นการขายดีลส่วนลด ซึ่งได้รับการตอบรับดีเป็นพิเศษจากกลุ่มวัยทำงาน ส่งผลให้ยอดการซื้อดีลเติบโตสูงกว่า 2 เท่า หรือ 250% ในปีที่ผ่านมา
หลังควบรวมกิจการกับ Chope GrabFood ได้นำจุดแข็งด้านเทคโนโลยีและเครือข่ายพันธมิตรด้านร้านอาหารมาผสานเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถให้บริการ Dine Out ได้ครบวงจรทั้งการ จองโต๊ะร้านอาหาร และ ซื้อดีลส่วนลด ผ่านแอปพลิเคชันเดียว ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายและความคุ้มค่า
เพื่อกระตุ้นการใช้บริการ GrabFood ยังเปิดตัวแคมเปญใหญ่ดีลดี มีโต๊ะ เจาะกลุ่มนักกินที่ชื่นชอบประสบการณ์ใหม่ ๆ และมองหาความคุ้มค่าในการใช้จ่าย โดยเน้นชูสิทธิประโยชน์ที่ผู้บริโภคหลายคนอาจมองข้าม
กลยุทธ์ครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของ GrabFood ในการเดินหน้าสู่ Omnicommerce หรือการผสานบริการออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ และยกระดับแพลตฟอร์มจากการเป็นเพียงแอปสั่งอาหาร สู่การเป็นไลฟ์สไตล์ซูเปอร์แอปด้านอาหารที่ครอบคลุมทุกมิติการกินนอกบ้าน
