รอยเตอร์รายงานว่า สำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งรัฐของจีน หรือ SAMR แถลงผลการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า บริษัท เอ็นวิเดีย (Nvidia) ได้ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของประเทศ แม้รายละเอียดเชิงลึกยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดการเงินและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้น ในวันเดียวกับที่สหรัฐฯ และจีนเปิดการเจรจาการค้ารอบใหม่ที่กรุงมาดริด โดยมีประเด็น "ชิป" โดยเฉพาะชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูงของเอ็นวิเดีย เป็นหัวข้อหลัก Analysts มองว่าการเคลื่อนไหวนี้คือ ไพ่ต่อรองของจีน เพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนเพิ่มอีก 23 แห่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผลสะเทือนทางธุรกิจของเอ็นวิเดีย ชัดเจนทันทีเมื่อหุ้นร่วงกว่าร้อยละ 2.1 ในการซื้อขายก่อนตลาดเปิดวันจันทร์ที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลของนักลงทุน แม้จีนยังไม่ได้ระบุโทษปรับที่แน่ชัด แต่ตามกฎหมายการผูกขาด บริษัทที่กระทำผิดอาจถูกปรับร้อยละ 1–10 ของรายได้ต่อปี สำหรับเอ็นวิเดีย ตัวเลขนี้หมายถึงความเสี่ยงสูงสุดเกือบ 1.7 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากปีงบประมาณล่าสุดจีนสร้างรายได้ให้นักออกแบบชิปรายนี้กว่า 17,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 13 ของรายได้รวม
สรุปข่าว
รอยเตอร์รายงานว่า สำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งรัฐของจีน หรือ SAMR แถลงผลการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า บริษัท เอ็นวิเดีย (Nvidia) ได้ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดของประเทศ แม้รายละเอียดเชิงลึกยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดการเงินและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้น ในวันเดียวกับที่สหรัฐฯ และจีนเปิดการเจรจาการค้ารอบใหม่ที่กรุงมาดริด โดยมีประเด็น "ชิป" โดยเฉพาะชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูงของเอ็นวิเดีย เป็นหัวข้อหลัก Analysts มองว่าการเคลื่อนไหวนี้คือ ไพ่ต่อรองของจีน เพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนเพิ่มอีก 23 แห่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผลสะเทือนทางธุรกิจของเอ็นวิเดีย ชัดเจนทันทีเมื่อหุ้นร่วงกว่าร้อยละ 2.1 ในการซื้อขายก่อนตลาดเปิดวันจันทร์ที่ผ่านมา สะท้อนความกังวลของนักลงทุน แม้จีนยังไม่ได้ระบุโทษปรับที่แน่ชัด แต่ตามกฎหมายการผูกขาด บริษัทที่กระทำผิดอาจถูกปรับร้อยละ 1–10 ของรายได้ต่อปี สำหรับเอ็นวิเดีย ตัวเลขนี้หมายถึงความเสี่ยงสูงสุดเกือบ 1.7 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากปีงบประมาณล่าสุดจีนสร้างรายได้ให้นักออกแบบชิปรายนี้กว่า 17,000 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 13 ของรายได้รวม
หน่วยงานกำกับดูแลตลาดของจีน ยังเปิดเผยว่า เอ็นวิเดียอาจละเมิดข้อตกลงที่เคยให้ไว้เมื่อเข้าซื้อกิจการ Mellanox Technologies ในปี 2020 โดยหนึ่งในเงื่อนไขคือยังต้องจัดหาตัวเร่งการประมวลผลกราฟิก (GPU accelerators) ให้ตลาดจีนต่อเนื่อง แต่ภายหลังการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ทำให้เอ็นวิเดียต้องยุติการจำหน่ายชิปขั้นสูงบางรุ่น ซึ่งจีนมองว่าเป็นการผิดสัญญา
ด้านนักวิเคราะห์มองว่าการเคลื่อนไหวของจีนครั้งนี้เป็นมากกว่าคดีผูกขาด เพราะ สะท้อนการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ด้านเทคโนโลยี จีนต้องการกดดันและแสดงศักยภาพว่ามีเครื่องมือเพื่อตอบโต้ หากสหรัฐฯ ใช้นโยบายควบคุมการส่งออกเช่นที่ผ่านมา พร้อมทั้งเร่งพัฒนาชิปในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน เอ็นวิเดียเองก็พยายามประคับประคองความสัมพันธ์กับตลาดจีน ซีอีโอ เจนเซน หวง (Jensen Huang) ได้เดินทางเยือนจีนแล้วถึง 3 ครั้งในปีนี้ เพื่อแสดงความตั้งใจรักษาตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก แม้ต้องจำหน่ายชิปเวอร์ชันดัดแปลงอย่างรุ่น H20 ที่จีนยังตั้งข้อสงสัยว่ามีความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์หรือไม่
แม้หลายฝ่ายเห็นว่าการตัดสินของ หน่วยงานกำกับดูแลตลาดของจีน อาจไม่ทำให้เอ็นวิเดียสูญเสียตลาดจีนในทันที แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ การสร้างทางเลือกใหม่ของจีนเอง ซึ่งจะเป็นแรงกดดันระยะยาวต่อยักษ์ใหญ่ชิปสหรัฐฯ รายนี้ และเป็นอีกสมรภูมิร้อนในศึกเทคโนโลยีระหว่างสองมหาอำนาจโลก
ที่มารูปภาพ : -
