45,3000 สาขาทั่วโลก "MIXUE" ชานมสัญชาติจีน ่ ล้มแชมป์ 'McDonald’s' จากอเมริกา


MIXUE (มี่เสวี่ย) ร้านขายชานมไข่มุก และไอศกรีมสัญชาติจีน ที่ทุกคนจำได้จากขายไอศกรีมราคาถูกแค่ 15 บาท 

แต่ในร้านก็ยังมีสินค้ายอดนิยมอีกมากมาย ทั้ง น้ำเลม่อน ชาผลไม้ และชานมไข่มุก

แม้จะร้านที่ขายสินค้าราคาไม่แพงแต่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง 


ล่าสุด มี่เสวี่ย กลายเป็นธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

ด้วยสาขาที่มากสุด คือ  45,300 แห่ง ในประเทศจีน และอีก 11 ประเทศทั่วโลก 

ล้มแชมป์เก่าที่ต่างก็เป็นร้านสัญชาติอเมริกัน ไม่ว่าเป็น  McDonald's  ร้านฟาสต์ฟู้ด ที่มีสาขาอยู่ที่ 42,800 แห่ง 

ร้านกาแฟ Starbucks จำนวนสาขา 40,200 แห่ง  ไก่ทอด KFC มีสาขา 31,100 สาขา

ขณะที่ร้านกาแฟสัญชาติจีนก็เร่งตัวตามขึ้นติดๆด้วยอันดับที่ 5  Luckin Coffee 21,300 สาขา 


นอกจากนี้  MIXUE Group ยังได้ ขายหุ้น IPO ครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 

จำนวน 17.1 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 202.5 ดอลลาร์ฮ่องกง (26.04 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อหุ้น

ตั้งเป้าระดมทุนที่ 444 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 1.5 หมื่นล้านบาท

มีการประเมินมูลค่าของบริษัท Mixue จะมีมูลค่าถึง 9.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.3 แสนล้านบาท




45,3000 สาขาทั่วโลก  "MIXUE" ชานมสัญชาติจีน ่ ล้มแชมป์  'McDonald’s' จากอเมริกา

สรุปข่าว

MIXUE (มี่เสวี่ย) ร้านขายชานมไข่มุก และไอศกรีมสัญชาติจีน ขึ้นแท่นกลายเป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่มีสาขาเยอะที่สุดในโลก แซงหน้า Mcdonold's ของสหรัฐอเมริกา

และในวันนี้ความสำเร็จของร้านชานมจากจีนได้รับความสนใจจากทั่วโลก 

จากร้านขายน้ำแข็งไสเล็กๆ ด้วยเงินทุนตั้งต้นเพียง 3,000 หยวน (ประมาณกว่า 1 หมื่นบาท) 

ก่อตั้งในเมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน เมื่อ ปี 2540 

พลิกสู่ร้านไอศกรีมและชานมระดับโลก 

จนปัจจุบัน จาง หงเชา (Zhang Hongchao ) และ จาง หงฟู่ (Zhang Hongfu) สองพี่น้องผู้ก่อตั้ง

มีทรัพย์สินรวมกันมากถึง 8.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.7 แสนล้านบาท)


จุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจ เริ่มขึ้นปี 2549 เมื่อมี่เสวี่ยได้บุกเบิกธุรกิจไอศกรีม Soft Serve ราคา 2 หยวน 

ถือเป็นไอศกรีมราคาถูก เจ้าแรกๆ ในจีน จากปกติที่จะเริ่มต้นด้วย 10 หยวนขึ้นไป 

จนได้รับความนิยม ทำยอดขายถล่มทลาย และขยายสาขาด้วยระบบแฟรนไชส์ที่ราคาไม่สูงมาก

ทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนจำนวนมาก และมุ่งกระจายไปยังเมืองรองมากกว่าเมืองหลัก

ที่มีชานมหรือไอศกรีมพรีเมียมหลายแบรนด์เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้วจำนวนมาก


 รายได้ของมี่เสวี่ย หลักๆมากถึง 95  % มาจากขายวัตถุดิบให้กับร้านแฟรนไชส์ทั้งในจีนและต่างประเทศ

ตั้งแต่ ชา ไซรัป น้ำตาล ไอศกรีม ไปถึงอุปกรณ์และเครื่องใช้ในร้าน 

ตามมาด้วยค่าขายสิทธิแฟรนไชส์ และรายได้จากการขายหน้าร้านที่เป็นของบริษัทแม่โดยตรง  

นอกจากนี้ยังมีรายได้จากลิขสิทธิ์แบรนด์และสินค้าต่างๆ 

โดยเฉพาะมาสค็อตยอดนิยมของทางร้าน ตุ๊กตาหิมะยิ้มหวาน Snow King 


เพราะความจริงแล้วมี่เสวี่ยมีสาขาเป็นหลักอยู่ในจีนมากถึง 90% แต่สามารถหารายได้จากต่างประเทศถึง 70% 

โดยมีตลาดหลัก อยู่ในประเทศอินโดนีเซีย และประเทศเวียดนาม

โดยปี 2566  ทำยอดขายได้ 7.4 พันล้านแก้ว 

ส่วนปีที่แล้ว 2567 แค่เพียง 9 เดือนแรก ก็ทำยอดขายทะลุ 7.1 พันล้านแก้ว

ส่วนเมืองไทยเรา จากข้อมูลพบว่าปีที่ผ่านมา 2567 มี่เสวี่ยมีสาขาแล้วมากกว่า 200 สาขาทั่วเมืองไทย 

และตั้งเป้าไปให้ถึง 2,000 สาขาภายในปี 2570 

ที่มาข้อมูล : Reuters Bloomberg MIXUE

ที่มารูปภาพ : TNN

avatar

ทิฆัมพร อยู่กำเหนิด