"โตโยต้า" TOYOTA ค่ายรถสัญชาติญี่ปุ่นเบอร์หนึ่งของโลก
กำลังเจอกับศึกหนักครั้งใหญ่ นั่นคือ "มรสุมภาษีทรัมป์ "
มีการคาดการณ์ว่า โตโยต้า จะเป็นค่ายที่รับผลกระทบหนักที่สุดเมื่อเทียบกับเจ้าอื่นๆ
เพราะนับแค่ 2 เดือน กำไรก็หายไปแล้วถึง 1,200 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ตลาดอื่นๆเองก็ใช่ว่าจะสดใส เพราะตอนนี้อีวีจากจีนก็กำลังมาแรง
ยอดขายดีวันดีคืน จนโตโยต้าเองก็แทบจะนั่งไม่ติด
โตโยต้า ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ในแง่ของผู้ผลิตหรือค่ายรถที่มียอดขายเยอะที่สุดในโลก
โดยล่าสุดปีที่ผ่านมา มีตัวเลขยอดจำหน่ายทั่วโลกอยู่ที่ 10 ล้าน 8 แสนคัน
และโตโยต้าก็อยู่ในตำแหน่งแชมป์แบบนี้มานานถึง 5 ปีติดต่อกัน
แม้ตัวเลขยอดขายปีที่ผ่านมาจะลดลง 3.7% เมื่อเทียบปี 2566
และยังต้องเฝ้าระวังรถอีวีค่ายจีนอย่าง BYD ที่กำลังวิ่งไล่ตามมาห่าง ๆ
ด้วยยอดขาย 4.27 ล้านคัน ซึ่งได้ปาดหน้าแซงแบรนด์ญี่ปุ่นไปแล้วหลายเจ้า
อย่างไรก็ตาม วันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของอีวีจีนที่กำลังจะมาล้มแชมป์โตโยต้า
แต่เป็นภาษีทรัมป์ที่มากระแทกให้โตโยต้าต้องเดินเซและแทบล้มทั้งยืน
กับการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์สูงถึง 25 % ของสหรัฐฯ
ที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์นั้นสั่นสะเทือน
และข้อมูลจากบลูมเบิร์กรายงานว่า โตโยต้า มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น
อาจเผชิญผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯหนักที่สุด เมื่อเทียบกับบริษัทรถยนต์รายอื่น ๆ
เพราะดูจากกำไรที่กำลังจะวูบหายไปอย่างหนัก แค่เริ่มต้นเอาแค่ 2 เดือนก็วูบไปแล้วพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดย บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ได้ประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
ระบุว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมานับเพียงแค่ 2 เดือน ก็ทำให้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทฯ
ลดลงไปแล้วประมาณ 180,000 ล้านเยน หรือกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และยังระบุอีกว่า ผลกระทบในเดือนเมษายน และพฤษภาคม ได้ถูกนำมาพิจารณาอย่างคร่าว ๆ แล้ว
แต่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูงอยู่ ซึ่งจะส่งผลต่อผลประกอบการทั้งปีอย่างแน่นอน
พร้อมกันนี้ได้มีการคาดการณ์รายได้จากการดำเนินงานสำหรับงวดปี ที่สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568
ไว้ที่ 3 ล้าน 8 แสน ล้านเยน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4 ล้าน 7 แสนล้านเยน
และตัวเลขความเสียหายที่ว่านี้ก็ยังถือว่าสูงกว่าเจ้าอื่นๆ ด้วย เช่น
เมื่อเทียบกับ “เจเนอรัล มอเตอร์ส” (GM) มีการหั่นคาดการณ์กำไรตลอดทั้งปีลง 5 พันล้านดอลลาร์
และ “ฟอร์ด มอเตอร์” ที่ประเมินกำไรอาจลดลง 1.5 พันล้านดอลลาร์
สรุปข่าว
"โตโยต้า" TOYOTA ค่ายรถสัญชาติญี่ปุ่นเบอร์หนึ่งของโลก
กำลังเจอกับศึกหนักครั้งใหญ่ นั่นคือ "มรสุมภาษีทรัมป์ "
มีการคาดการณ์ว่า โตโยต้า จะเป็นค่ายที่รับผลกระทบหนักที่สุดเมื่อเทียบกับเจ้าอื่นๆ
เพราะนับแค่ 2 เดือน กำไรก็หายไปแล้วถึง 1,200 ล้านดอลลาร์
ขณะที่ตลาดอื่นๆเองก็ใช่ว่าจะสดใส เพราะตอนนี้อีวีจากจีนก็กำลังมาแรง
ยอดขายดีวันดีคืน จนโตโยต้าเองก็แทบจะนั่งไม่ติด
โตโยต้า ยังคงเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ในแง่ของผู้ผลิตหรือค่ายรถที่มียอดขายเยอะที่สุดในโลก
โดยล่าสุดปีที่ผ่านมา มีตัวเลขยอดจำหน่ายทั่วโลกอยู่ที่ 10 ล้าน 8 แสนคัน
และโตโยต้าก็อยู่ในตำแหน่งแชมป์แบบนี้มานานถึง 5 ปีติดต่อกัน
แม้ตัวเลขยอดขายปีที่ผ่านมาจะลดลง 3.7% เมื่อเทียบปี 2566
และยังต้องเฝ้าระวังรถอีวีค่ายจีนอย่าง BYD ที่กำลังวิ่งไล่ตามมาห่าง ๆ
ด้วยยอดขาย 4.27 ล้านคัน ซึ่งได้ปาดหน้าแซงแบรนด์ญี่ปุ่นไปแล้วหลายเจ้า
อย่างไรก็ตาม วันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของอีวีจีนที่กำลังจะมาล้มแชมป์โตโยต้า
แต่เป็นภาษีทรัมป์ที่มากระแทกให้โตโยต้าต้องเดินเซและแทบล้มทั้งยืน
กับการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์สูงถึง 25 % ของสหรัฐฯ
ที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์นั้นสั่นสะเทือน
และข้อมูลจากบลูมเบิร์กรายงานว่า โตโยต้า มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น
อาจเผชิญผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯหนักที่สุด เมื่อเทียบกับบริษัทรถยนต์รายอื่น ๆ
เพราะดูจากกำไรที่กำลังจะวูบหายไปอย่างหนัก แค่เริ่มต้นเอาแค่ 2 เดือนก็วูบไปแล้วพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดย บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ได้ประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
ระบุว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมานับเพียงแค่ 2 เดือน ก็ทำให้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทฯ
ลดลงไปแล้วประมาณ 180,000 ล้านเยน หรือกว่า 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และยังระบุอีกว่า ผลกระทบในเดือนเมษายน และพฤษภาคม ได้ถูกนำมาพิจารณาอย่างคร่าว ๆ แล้ว
แต่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูงอยู่ ซึ่งจะส่งผลต่อผลประกอบการทั้งปีอย่างแน่นอน
พร้อมกันนี้ได้มีการคาดการณ์รายได้จากการดำเนินงานสำหรับงวดปี ที่สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568
ไว้ที่ 3 ล้าน 8 แสน ล้านเยน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 4 ล้าน 7 แสนล้านเยน
และตัวเลขความเสียหายที่ว่านี้ก็ยังถือว่าสูงกว่าเจ้าอื่นๆ ด้วย เช่น
เมื่อเทียบกับ “เจเนอรัล มอเตอร์ส” (GM) มีการหั่นคาดการณ์กำไรตลอดทั้งปีลง 5 พันล้านดอลลาร์
และ “ฟอร์ด มอเตอร์” ที่ประเมินกำไรอาจลดลง 1.5 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามแม้ว่าโตโยต้าก็ไม่ได้อยู่เฉย พยายามเพิ่มการผลิตภายในสหรัฐฯ
หวังให้มีสัดส่วนขึ้นมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายในสหรัฐฯ ทั้งหมด
แต่สุดท้าย ณ เวลานี้ ก็น่าจะยังไม่เพียงพอ
เพราะโตโยต้าก็ยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนและยังต้องนำเข้ารุ่นรถยนต์รุ่นหลัก ๆ อยู่ไม่น้อย
คือ ประมาณ 1ล้าน 2 แสนคันต่อปี และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้หนีไม่พ้นกับ
กำแพงภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
และด้วยเหตุนี้โตโยต้าจึงถูก ทรัมป์ นำไปพูดถึงเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
ว่ารถโตโยต้าที่ขายในสหรัฐจำนวนกว่า 1 ล้านคันนั้น เป็นการผลิตจากต่างประเทศ
ย้อนกลับไปที่มหากาพย์ "ภาษีทรัมป์"
ประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ
ได้ประกาศเก็บภาษีสำหรับรถยนต์นำเข้าในอัตรา 25 % ให้มีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 เมษายน
ขณะที่การนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จะต้องเสียภาษีในอัตรา 25 % เช่นกัน และมีผลตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม
การขึ้นภาษีของทรัมป์ ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าราคารถจากต่างประเทศ
ซึ่งรวมถึงโตโยต้าจะมีราคาแพงขึ้น แต่สำหรับโตโยต้านั้นได้ออกมายืนยันว่า
จะยังไม่ขึ้นราคา และถามว่าจะขึ้นตอนไหนนั้นทางบริษัทบอกว่าจะขอรอดูจากภาวะตลาดเป็นหลัก
พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศคงโรงงานรวมถึงคงการผลิตในสหรัฐฯ เอาไว้ทั้งหมด
ระหว่างรอผลการเจรจาการค้าระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
“โตโยต้า” ได้ตัดสินใจ
คงจำนวนการผลิตที่โรงงานทั้ง 11 แห่งในสหรัฐฯเอาไว้
ระหว่างรอเจรจาการค้าทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะบรรลุข้อตกลงเป็นอย่างไรหรือเมื่อใด
ซึ่ง "โคจิ ซาโต" (Koji Sato) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โตโยต้า กล่าวถึงเรื่องภาษีว่า
รายละเอียดยังไม่ชัดเจนนัก และยังเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินการหรือประเมินถึงผลกระทบใด ๆ
พร้อมกันนี้โตโยต้ายังยืนยันด้วยว่าจะยังไม่ขึ้นราคารถยนต์ในสหรัฐฯ แม้ทรัมป์ขึ้นภาษีศุลกากร
"โยอิจิ มิยาซากิ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป
(Toyota Motor Corp.) กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีการพิจารณาปรับขึ้นราคารถยนต์ในสหรัฐฯ
ในระยะเวลาอันใกล้นี้ แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ปรับขึ้นภาษีศุลกากรก็ตาม
โดยโตโยต้าจะตอบสนองต่อการปรับขึ้นภาษีศุลกากร ในเวลาที่เหมาะสม โดยจะขึ้นอยู่กับภาวะตลาด
ทั้งนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโตโยต้า โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 20%
ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก ซึ่งในจำนวนยอดขายในสหรัฐฯ นั้น เป็นรถที่ผลิตในสหรัฐฯ ประมาณ 50 % หรือครึ่งหนึ่ง
และอีก 30 % มาจากแคนาดาและเม็กซิโก ส่วนรถยนต์อีกจำนวน 281,000 คัน นำเข้าจากญี่ปุ่น
รวมถึงรุ่นยอดนิยมเช่น 4Runner mid-sized SUV, Prius hybrid และแบรนด์ Lexus อีกหลายรุ่น
สำหรับปีงบการเงินปัจจุบัน โตโยต้าระบุว่าบริษัทมีแผนที่จะจำหน่ายรถยนต์จำนวน 11.2 ล้านคันทั่วโลก
เพิ่มขึ้น 1.7% ดังนั้นภาษีศุลกากรเหล่านี้จึงอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการของบริษัท
อย่างไรก็ดี สำหรับ โตโยต้า ได้ลงทุนอย่างมหาศาล เพื่อสร้างฐานการผลิตในสหรัฐฯ
รวมถึงการลงทุน โรงงานแบตเตอรี่แห่งใหม่ที่รัฐ นอร์ธ แคโรไลนา มูลค่า 13,900 ล้านดอลลาร์
แต่บริษัทดังกล่าว ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาฐานการผลิตในประเทศเอาไว้ด้วย
โดยประธานบริษัท "อาคิโอะ โทโยดะ" (Akio Toyoda) ได้ให้คำมั่นไว้เสมอว่า
บริษัทฯ จะมีการผลิตในญี่ปุ่นอย่างน้อย 3 ล้านคันต่อปี ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว
โตโยต้าผลิตรถยนต์ในบ้านเกิดจำนวน 3 ล้าน 1 แสนคัน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของยอดผลิตทั้งหมดทั่วโลก
หัวหน้าฝ่ายเจรจาการค้าของญี่ปุ่น "เรียวเซอิ อากาซาวะ" (Ryosei Akazawa)
พูดถึงผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ โดยบอกว่า ผู้ผลิตรถยนต์รายหนึ่งของญี่ปุ่น
กำลังสูญเสียรายได้ราว 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อชั่วโมงจากภาษีศุลกากร
แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นรายใด และตัวแทนของโตโยต้า ไม่แสดงความเห็นใด ๆ ในเรื่องนี้
มุมมองจากนักวิเคราะห์ “ฮิโรชิ นามิโอกะ” หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของ T&D แอสเส็ต แมเนจเมนต์ มองว่า
อุปสรรคที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญในการลดภาษีรถยนต์ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ นั้นค่อนข้างสูง
แต่ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมรถยนต์ก็มีความสำคัญเกินกว่าที่ญี่ปุ่นจะยอมทำตามสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ
ท่ามกลางความไม่แน่นอนในสหรัฐอเมริกา
จีนจึงเป็นทางเลือกและทางออกของโตโยต้า
โดยเฉพาะการพัฒนา อีวี ที่กำลังมาแรงในขณะนี้
ด้วยการลงทุ่ม 2 พันล้านดอลลาร์ตั้งโรงงานในเซียงไฮ้
อีวีจากจีนกำลังมาแรงและกวาดส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไปทั่วโลก
โตโยต้าจึงต้องเร่งกำลังพัฒนาเพื่อมาสู้ศึกเช่นกัน
ล่าสุด บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นได้ลงนาม
ในข้อตกลงจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในเซี่ยงไฮ้
เมื่อ 22 เม.ย.2568 ซึ่งจะเป็นกิจการที่โตโยต้าถือหุ้นทั้งหมด อันเป็นความเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในจีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลก
โตโยต้ามีความมุ่งมั่นที่จะทุ่มเม็ดเงินลงทุนมูลค่ารวม 1.46 หมื่นล้านหยวน
(ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์
กับรัฐบาลเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ในโครงการรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ในเขตจินซาน
ซึ่งมุ่งเน้นที่การวิจัยและพัฒนา การผลิต
และการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์เล็กซัส (Lexus)
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โครงการดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งโครงการรถยนต์พลังงานใหม่
ที่มีอิทธิพลระดับโลกในเซี่ยงไฮ้ รองจากโรงงานกิกะแฟกทอรี (Gigafactory) ของเทสลา
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเซี่ยงไฮ้ต่อการเปิดกว้างในระดับสูง
และเร่งสร้างศูนย์อุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ระดับโลก
ที่มาข้อมูล : TOYOTA Bloomberg สำนักข่าวซินหัว
ที่มารูปภาพ : Freepik TOYOTA