นายจ้างไม่อยากได้ "เด็กจบใหม่"
บอกว่าไร้ประสบการณ์ ขาดทักษะที่จำเป็น
แล้วคนเพิ่งเรียนจบจะหาประสบการณ์ได้จากไหน?
พ่อแม่ฟังแล้วข่าวนี้แล้วอาจจะหนักใจ
หลายคนยอมลำบากเก็บเงินยืมเงินเอามาลงทุนส่งลูกหลานเรียนสูงๆ
แต่จบมาสุดท้ายแล้ว ทำไมหางานทำไม่ได้ เตะฝุ่นไปวันๆ
ความผิดอาจจะไม่ใช่ว่าตัวเด็กจบใหม่นั้นไม่เก่งหรือไม่ดีพอ
แต่นี่คือ ปัญหาใหญ่ของบ้านเรา ณ ตอนนี้ และอีกหลายประเทศทั่วโลก
นั่น คือ นายจ้างไม่ค่อยอยากได้เด็กรุ่นใหม่ที่ไร้ประสบการณ์
ข้อมูลล่าสุดจากทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์
จากการแถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกประจำปีนี้ 2568
พบว่าสถานการณ์แรงงานมีประเด็นที่น่าเป็นห่วง
นั่น คือ ตลาดแรงงานสำหรับเด็กจบใหม่ หรือคนที่เรียนจบสูงๆ
แล้วกำลังหางานทำเป็นงานแรกในชีวิต
หรือ First jobber ปัจจุบันนี้มีมีความเสี่ยงตกงานสูงมาก
และที่น่าตกใจกว่านั้น คือ ยิ่งเรียนสูง การศึกษาสูง ก็ยิ่งหางานทำไม่ได้
เพราะสภาพัฒน์พบว่ากลุ่มคนที่ว่างงานหรือตกงานมากที่สุดในบ้านเราตอนนี้
ก็คือ แรงงานที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาขึ้นไป หรือระดับปริญญา
มีอัตราว่างงาน ‘สูงที่สุด’ แถมยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกด้วย
โดยคนที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาและยังว่างงานอยู่ตอนนี้มีทั้งหมด 131,600 คน
ส่วนการศึกษาในระดับอื่นๆนั้นมีการว่างงานอยู่ในหลักหมื่นเท่านั้น
ตั้งแต่
อุดมศึกษา ว่างงานจำนวน 1.316 แสนคน (อัตราว่างงาน 1.84%)
วิชาชีพขั้นสูง ว่างงานจำนวน 3.18 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 1.31%)
อาชีวศึกษา ว่างงานจำนวน 2.08 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 1.28%)
มัธยมปลาย ว่างงานจำนวน 6.15 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 0.94%)
มัธยมต้น ว่างงานจำนวน 5.60 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 0.76%)
ประถมและต่ำกว่า ว่างงานจำนวน 5.62 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 0.37%)
ส่วนคนที่ว่างงานระยะยาว หรือว่าเตะฝุ่นตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป
ส่วนใหญ่หรือ 69.8% อยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี
และเมื่อพิจารณาประสบการณ์การทำงานพบว่าส่วนใหญ่
คนในกลุ่มนี้ หรือมากถึง 74.3% ของผู้ว่างงานระยะยาว
ไม่เคยทำงานมาก่อนเลย
และที่ต้องว่างงาน ก็เพราะหางานไม่ได้ ไม่มีใครรับ ไม่มีใครยอมจ้าง
สถานการณ์ผู้ว่างงานระยะยาว แยกตามกลุ่มอายุในไตรมาส 1 ปี 2568
อายุ 15-19 ปี: จำนวน 3,703 คน (อัตราว่างงาน 0.75%)
อายุ 20-24 ปี: จำนวน 30,052 คน (อัตราว่างงาน 0.94%)
อายุ 25-29 ปี: จำนวน 17,559 คน (อัตราว่างงาน 0.38%)
อายุ 30-34 ปี: จำนวน 7,746 คน (อัตราว่างงาน 0.17%)
อายุ 35-39 ปี: จำนวน 3,278 คน (อัตราว่างงาน 0.08%)
อายุ 40-49 ปี: จำนวน 4,664 คน (อัตราว่างงาน 0.05%)
อายุ 50-59 ปี: จำนวน 1,130 คน (อัตราว่างงาน 0.05%)
อายุ 60 ปีขึ้นไป: จำนวน 97 คน (อัตราว่างงาน 0.00%)
จบใหม่ จบสูง เท่ากับตกงานเยอะสุด
สอดคล้องกับผลสำรวจที่ไปเจอว่า
นายจ้างหรือผู้บริหารส่วนใหญ่ยุคนี้ กว่า 89 %
ไม่อยากได้เด็กจบใหม่ เพราะแม้จะไฟแรง แต่ก็ไม่ยังไม่มีประสบการณ์
ขาดทักษะที่จำเป็น แถมไม่มีมารยาททางธุรกิจด้วย
สรุปข่าว
นายจ้างไม่อยากได้ "เด็กจบใหม่"
บอกว่าไร้ประสบการณ์ ขาดทักษะที่จำเป็น
แล้วคนเพิ่งเรียนจบจะหาประสบการณ์ได้จากไหน?
พ่อแม่ฟังแล้วข่าวนี้แล้วอาจจะหนักใจ
หลายคนยอมลำบากเก็บเงินยืมเงินเอามาลงทุนส่งลูกหลานเรียนสูงๆ
แต่จบมาสุดท้ายแล้ว ทำไมหางานทำไม่ได้ เตะฝุ่นไปวันๆ
ความผิดอาจจะไม่ใช่ว่าตัวเด็กจบใหม่นั้นไม่เก่งหรือไม่ดีพอ
แต่นี่คือ ปัญหาใหญ่ของบ้านเรา ณ ตอนนี้ และอีกหลายประเทศทั่วโลก
นั่น คือ นายจ้างไม่ค่อยอยากได้เด็กรุ่นใหม่ที่ไร้ประสบการณ์
ข้อมูลล่าสุดจากทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์
จากการแถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกประจำปีนี้ 2568
พบว่าสถานการณ์แรงงานมีประเด็นที่น่าเป็นห่วง
นั่น คือ ตลาดแรงงานสำหรับเด็กจบใหม่ หรือคนที่เรียนจบสูงๆ
แล้วกำลังหางานทำเป็นงานแรกในชีวิต
หรือ First jobber ปัจจุบันนี้มีมีความเสี่ยงตกงานสูงมาก
และที่น่าตกใจกว่านั้น คือ ยิ่งเรียนสูง การศึกษาสูง ก็ยิ่งหางานทำไม่ได้
เพราะสภาพัฒน์พบว่ากลุ่มคนที่ว่างงานหรือตกงานมากที่สุดในบ้านเราตอนนี้
ก็คือ แรงงานที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาขึ้นไป หรือระดับปริญญา
มีอัตราว่างงาน ‘สูงที่สุด’ แถมยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกด้วย
โดยคนที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาและยังว่างงานอยู่ตอนนี้มีทั้งหมด 131,600 คน
ส่วนการศึกษาในระดับอื่นๆนั้นมีการว่างงานอยู่ในหลักหมื่นเท่านั้น
ตั้งแต่
อุดมศึกษา ว่างงานจำนวน 1.316 แสนคน (อัตราว่างงาน 1.84%)
วิชาชีพขั้นสูง ว่างงานจำนวน 3.18 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 1.31%)
อาชีวศึกษา ว่างงานจำนวน 2.08 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 1.28%)
มัธยมปลาย ว่างงานจำนวน 6.15 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 0.94%)
มัธยมต้น ว่างงานจำนวน 5.60 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 0.76%)
ประถมและต่ำกว่า ว่างงานจำนวน 5.62 หมื่นคน (อัตราว่างงาน 0.37%)
ส่วนคนที่ว่างงานระยะยาว หรือว่าเตะฝุ่นตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป
ส่วนใหญ่หรือ 69.8% อยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี
และเมื่อพิจารณาประสบการณ์การทำงานพบว่าส่วนใหญ่
คนในกลุ่มนี้ หรือมากถึง 74.3% ของผู้ว่างงานระยะยาว
ไม่เคยทำงานมาก่อนเลย
และที่ต้องว่างงาน ก็เพราะหางานไม่ได้ ไม่มีใครรับ ไม่มีใครยอมจ้าง
สถานการณ์ผู้ว่างงานระยะยาว แยกตามกลุ่มอายุในไตรมาส 1 ปี 2568
อายุ 15-19 ปี: จำนวน 3,703 คน (อัตราว่างงาน 0.75%)
อายุ 20-24 ปี: จำนวน 30,052 คน (อัตราว่างงาน 0.94%)
อายุ 25-29 ปี: จำนวน 17,559 คน (อัตราว่างงาน 0.38%)
อายุ 30-34 ปี: จำนวน 7,746 คน (อัตราว่างงาน 0.17%)
อายุ 35-39 ปี: จำนวน 3,278 คน (อัตราว่างงาน 0.08%)
อายุ 40-49 ปี: จำนวน 4,664 คน (อัตราว่างงาน 0.05%)
อายุ 50-59 ปี: จำนวน 1,130 คน (อัตราว่างงาน 0.05%)
อายุ 60 ปีขึ้นไป: จำนวน 97 คน (อัตราว่างงาน 0.00%)
จบใหม่ จบสูง เท่ากับตกงานเยอะสุด
สอดคล้องกับผลสำรวจที่ไปเจอว่า
นายจ้างหรือผู้บริหารส่วนใหญ่ยุคนี้ กว่า 89 %
ไม่อยากได้เด็กจบใหม่ เพราะแม้จะไฟแรง แต่ก็ไม่ยังไม่มีประสบการณ์
ขาดทักษะที่จำเป็น แถมไม่มีมารยาททางธุรกิจด้วย
เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ นายดนุชา พิชยนันท์ กล่าวถึงสถานการณ์เสี่ยงของเด็กจบใหม่
ในประเทศไทยวันนี้ว่า สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Hult International Business School
ที่ร่วมกับ Workplace Intelligence ซึ่งได้ไปทำการสำรวจผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล ในสหรัฐอเมริกา
พบว่าผู้บริหารส่วนใหญ่ ส่วนมาก ถึง 89%
มีแนวโน้มที่จะเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่
โดยเหตุผลหลักๆที่ให้ก็คือ
มองว่าเด็กจบใหม่ยังขาดประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง 60%
ไม่ทีทักษะการทำงานที่เหมาะสม 51%
ขาดทักษะการทำงานเป็นทีม 55%
มองว่าเด็กจบใหม่ยังมีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดีนัก 50%
และเมื่อนายจ้างไม่สนใจเด็กจบใหม่ ก็จะหันไปเลือกจ้างฟรีแลนซ์
หรือพนักงานที่เกษียณไปแล้วทดแทน หรือยอมปล่อยให้ตำแหน่งว่างไปเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น เพื่อให้มีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน แรงงานจบใหม่
จึงควรเตรียมความพร้อมตนเองให้เหมาะสม ทั้งในด้านทักษะที่จำเป็นต่อสายงานและทัศนคติต่อโลกการทำงาน
ขณะที่ภาคการศึกษาต้องเร่งปรับการเรียนการสอนให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
รวมถึงส่งเสริมการฝึกงาน เพื่อสร้างประสบการณ์ทำงานจริงให้แก่นักศึกษา
ทั้งนี้เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ยังได้ให้ข้อแนะนำสำหรับน้องๆที่จบการศึกษาใหม่ในเวลานี้
เพื่อเพิ่มโอกาสในการหางาน โดยระบุว่า
เด็กจบใหม่ต้องมีคุณสมบัติหลัก คือ มีความสามารถในเชิงวิชาชีพที่จบมาต้องทำงานได้
นอกจากนั้นต้องมีทักษะในการคิดวิเคราะห์ และความสร้างสรรค์ในการทำงานของตัวเอง
ขณะเดียวกันการทำงานของคนรุ่นใหม่มักจะให้ความสำคัญกับ “Work life balance”
แต่ในความเป็นจริงหากคนรุ่นใหม่ที่เข้าไปทำงานในที่ต่างๆ นั้น
การจัดการเรื่อง Work life balance อาจจะยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงแรก
ต้องเข้าใจต้อง Work ก่อน แล้วเรื่อง balance อาจจะตามทีหลัง
รวมไปถึงความยืดหยุ่นในการทำงานก็นับเป็นเรื่องหนึ่งที่จำเป็น
เพราะหากผู้บริหารต้องการงานที่เร่งด่วนเข้ามาก็ต้องมาช่วยกันทำ เพื่อให้งานบรรลุไปได้
ซึ่งต้องคำนึงถึงการทำงานในภาพรวมด้วย
ซึ่งในกรณีที่อยากเป็นเจ้าของกิจการอาจจะต่างกันออกไป
แต่สำหรับกลุ่มที่จะเข้าไปทำงานในระบบ เข้าสู่การจ้างงานในองค์กร และบริษัทต่างๆนั้น
ต้องเข้าใจว่าการทำงานจริง เรารับเงินเดือนเขามาแล้ว การทำงานจริงก็ต้องทำงานอย่างเต็มที่
รวมไปถึงทักษะการทำงานเป็นทีมก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะการสื่อสารกับคน และมารยาททางธุรกิจในการติดต่อก็เป็นเรื่องสำคัญ
นับเป็นเรื่องซอฟต์สกิลที่ต้องฝึกฝน
"งาน" หายากสำหรับทุกคน มีงานอยู่แล้วก็ไม่ได้แปลว่า "ปลอดภัย"
วันนี้ งานหายากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ใช่แค่เด็กจบใหม่เท่านั้นที่เจอความเสี่ยง
เพราะว่าปีที่ผ่านมา พบว่านายจ้าง ทั้ง SMEs และโรงงานในบ้านเรา
ต่างพากันปิดกิจการหรือว่าเจ๊งกันไปแล้ว
กว่า 2 หมื่นแห่ง มากกว่า 1 พัน 200 โรงงาน
การจ้างงาน หรือ สถานการณ์แรงงานไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568
พบว่ามีผู้มีงานทำรวม 39.4 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.5%
โดยแรงงานภาคเกษตรยังคงมีการจ้างงานในระดับคงที่
ส่วนแรงงานนอกภาคเกษตร เช่น การผลิต โรงแรม ร้านอาหาร และค้าปลีก มีการจ้างงานลดลง
แม้การท่องเที่ยวจะยังมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่การจ้างงานในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว
เช่น โรงแรมและร้านอาหาร ยังคงลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มฟรีแลนซ์ หรือ แรงงานชั่วคราว
ขณะที่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์อยู่ที่ 40.8 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับผู้ทำงานล่วงเวลาหรือโอที ลดลงไป 5.0%
นอกจากนี้ยังพบว่าแรงงานที่อยู่ในภาวะต่ำกว่าศักยภาพ ซึ่งทำงานไม่เต็มเวลา
หรืองานไม่สอดคล้องกับความสามารถ มีจำนวนเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะในภาคการค้าและบริการ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ทั้งนี้สำหรับภาคธุรกิจย้ำกว่าจำเป็นต้องปรับตัวโดยเร่งด่วน
โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่มีจ้างงานสูง
โดยปี 2567 ที่ผ่านมามี SMEs ในไทยปิดกิจการไปแล้วกว่า 2 หมื่น 4 พันแห่ง
และโรงงานปิดกิจการ 1,234 แห่ง ทำให้กระทบการจ้างงาน
ขณะที่สถานการณ์ในอนาคตเองก็ยังเสี่ยงสูง
ตอนนี้สถาบันการเงินของรัฐ ได้มีมาตรการเข้าไปช่วย
โดยเฉพาะผู้ส่งออกที่ได้รับผลจากมาตรการสหรัฐฯ
เพื่อให้ SMEs ยังดำเนินกิจการอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องปิดโรงงาน
ซึ่งทางสภาพัฒน์ชี้ว่าประเด็นสำคัญที่ภาครัฐควรให้ความสำคัญ
คือ การยกระดับการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในกลุ่ม SMEs
โดยข้อมูลจากรายงาน Thailand Economic Monitor February 2025 ของธนาคารโลก พบว่า
ธุรกิจในไทยมีการใช้นวัตกรรมในกิจกรรมต่าง ๆ ในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
โดยมีการนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเพียง 11.9%
น้อยกว่าประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีสัดส่วน 40.9% เวียดนาม 37.9% และมาเลเซีย 37.3%
อีกทั้ง SMEs ไทยยังมีการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่ค่อนข้างต่ำ
ดังนั้น จึงควรส่งเสริมให้ SMEs ไทยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน
เพื่อเพิ่มโอกาสในการยกระดับกระบวนการผลิต
โดยปัจจุบัน SMEs รองรับแรงงานไว้กว่า 12.9 ล้านคน
ซึ่งหากสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้
จะส่งผลดีต่อสถานะการจ้างงานและรายได้ของแรงงานด้วย
เด็กจบใหม่หางานยากเรื่องจริง ไม่ได้คิดไปเองแล้ว
ส่วนคนที่มีงานแล้วก็ใช่ว่าเราจะเอาตัวรอดได้ตลอดไป
ในภาวะแบบนี้ หลายคนชอบบอกว่ามีงานแล้วควรกอดงานเอาไว้ให้แน่น
เพราะจะโดนเลิกจ้างหรือเปล่าก็ยังไม่รู้?
ที่มาข้อมูล : สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
ที่มารูปภาพ : Freepik canva