รัฐบาล"ญี่ปุ่น" จ่ออัดฉีดงบครั้งใหญ่ บรรเทาผลกระทบ "ภาษีทรัมป์" คาดสูง 10 ล้านล้านเยน

รัฐบาล"ญี่ปุ่น" จ่ออัดฉีดงบครั้งใหญ่ บรรเทาผลกระทบ "ภาษีทรัมป์" คาดสูง 10 ล้านล้านเยน

รัฐบาลญี่ปุ่นจ่ออัดฉีดงบฯ เพิ่ม สู้ผลกระทบภาษีทรัมป์


นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น เปิดเผยในวันนี้ (4 สิงหาคม 2568) ว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาจัดทำงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ  โดยความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นท่ามกลางอนาคตการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ยังเปราะบางและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้ว่าสุดท้ายแล้วญี่ปุ่นจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อเดือนที่ผ่านมาและได้ช่วยลดภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นไปยังสหรัฐฯ จาก 25% เหลือที่ 15 % ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่ากำแพงภาษี 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก จะถูกปรับลดลงได้เมื่อใดกันแน่


ทั้งนี้หลังจากนายอิชิบะได้รับการพ่ายแพ้การเลือกตั้งวุฒิสภาเมื่อเดือนก่อน บรรดาพรรคฝ่ายค้านยิ่งเพิ่มแรงกดดันขอให้รัฐบาลผสมเสียงข้างน้อยของนายกฯ อิชิบะ เพิ่มการใช้จ่ายและปรับลดภาษีการขายทั่วประเทศ และหากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้า คาดว่าจะมีการยื่นร่างงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อที่ประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในเดือนกันยายน 2568 นี้


นักวิเคราะห์คาดว่าแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวของรัฐบาลอาจจะมีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านล้านเยน (6.768 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งหมายความว่าจะทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่ม และจะยิ่งทำให้งบประมาณประจำปีนี้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 115.5 ล้านล้านเยนพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดยปัจจุบันนี้ งบประมาณเกือบ 1 ใน 4 ถูกนำไปใช้ชำระหนี้เดิมอยู่แล้ว



สรุปข่าว

นายกฯ "ญี่ปุ่น" เผยรัฐบาลจ่ออัดฉีดงบครั้งใหญ่ สู้ผลกระทบ "ภาษีทรัมป์" คาดสูง 10 ล้านล้านเยน

รัฐบาลญี่ปุ่นจ่ออัดฉีดงบฯ เพิ่ม สู้ผลกระทบภาษีทรัมป์


นายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ของญี่ปุ่น เปิดเผยในวันนี้ (4 สิงหาคม 2568) ว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาจัดทำงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ  โดยความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นท่ามกลางอนาคตการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ยังเปราะบางและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้ว่าสุดท้ายแล้วญี่ปุ่นจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ เมื่อเดือนที่ผ่านมาและได้ช่วยลดภาษีนำเข้าสินค้าญี่ปุ่นไปยังสหรัฐฯ จาก 25% เหลือที่ 15 % ก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่ากำแพงภาษี 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก จะถูกปรับลดลงได้เมื่อใดกันแน่


ทั้งนี้หลังจากนายอิชิบะได้รับการพ่ายแพ้การเลือกตั้งวุฒิสภาเมื่อเดือนก่อน บรรดาพรรคฝ่ายค้านยิ่งเพิ่มแรงกดดันขอให้รัฐบาลผสมเสียงข้างน้อยของนายกฯ อิชิบะ เพิ่มการใช้จ่ายและปรับลดภาษีการขายทั่วประเทศ และหากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้า คาดว่าจะมีการยื่นร่างงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อที่ประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในเดือนกันยายน 2568 นี้


นักวิเคราะห์คาดว่าแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวของรัฐบาลอาจจะมีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านล้านเยน (6.768 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งหมายความว่าจะทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่ม และจะยิ่งทำให้งบประมาณประจำปีนี้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 115.5 ล้านล้านเยนพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดยปัจจุบันนี้ งบประมาณเกือบ 1 ใน 4 ถูกนำไปใช้ชำระหนี้เดิมอยู่แล้ว



แรงกดดันที่ต้องการให้เพิ่มการใช้จ่ายนี้ทำให้นายกฯ อิชิบะต้องตกที่นั่งลำบาก ขณะที่พรรคฝ่ายค้านเรียกร้องขอให้หั่นภาษีการขายลงไป 10% โดยอ้างถึงปัญหาราคาอาหารแพงที่กระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่นายกฯ อิชิบะยังคงสงวนท่าที เนื่องจากภาษีดังกล่าวเป็นรายได้สำคัญสำหรับสวัสดิการสังคมในประเทศที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว


อย่างไรก็ตามข้อเรียกร้องให้กระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้ นับว่าสวนทางกับสถานการณ์การคลังที่น่าวิตกของญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง การอัดฉีดงบประมาณก้อนโตและค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการที่บานปลายในอดีต ส่งผลให้ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะสูงถึง 2.5 เท่าของขนาดเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ

เกาหลีใต้ยังห่วง กำแพงภาษี 15% ของสหรัฐฯ กระทบผู้ส่งออก


คิม จองกวาน รัฐมนตรีอุตสาหกรรมเกาหลีใต้ ระบุในวันนี้ (4 สิงหาคม 2568) ว่า แม้จะบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับสหรัฐฯ แล้ว แต่ยังคงมีความกังวลว่าอัตราภาษี 15% อาจบั่นทอนความสามารถในการทำกำไรของผู้ส่งออก


ในการประชุมร่วมกับผู้นำภาคธุรกิจและนักวิชาการ คิมยอมรับว่าข้อตกลงภาษีศุลกากรดังกล่าว ซึ่งสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเกาหลีใต้ในอัตรา 15% แลกกับการที่เกาหลีใต้ต้องลงทุนมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ นั้น ได้ช่วยให้เกาหลีใต้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดไปได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวยังไม่มีการลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ


นายคิมกล่าวว่า อัตราภาษี 15% ที่สูงเป็นประวัติการณ์นี้ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในประเทศที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME)รัฐบาลจะเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อสรุปรายละเอียดของแผนการลงทุนดังกล่าว โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัทเกาหลีใต้และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ พร้อมระบุว่า ไม่ว่าผลของข้อตกลงนี้จะเป็นเช่นไร เกาหลีใต้จำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อรับมือกับ “นิวนอร์มัล” (New Normal) ของกระแสชาตินิยมที่ทวีความรุนแรงขึ้นในเวทีการค้าโลก

ที่มาข้อมูล : Reuters

ที่มารูปภาพ : Freepik