ระวังตกงานไม่รู้ตัว โลกทำงานยุคใหม่ "เกษียณ" อายุ 45 ปี ไม่แก่แต่ไม่ทันโลก เสี่ยงถูกเลิกจ้าง

โลกทำงานยุคใหม่ "เกษียณ"  อายุ 45 ปี  ไม่แก่แต่ไม่ทันโลก = ตกงานไม่รู้ตัว  


อายุแค่ 45 ปีก็กลายเป็นวันเกษียณแบบไม่รู้ตัว นี่คือเรื่องจริง สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองไทยและทั่วโลก เมื่อโลกการทำงานกำลังเปลี่ยนทิศทางไปแล้ว องค์กรไม่อยากเลี้ยงคนไว้นาน แถมงานประจำก็หายากมากขึ้น จ้างก็แต่ฟรีแลนซ์ แต่ในขณะเดียวเราก็อยู่ในยุคของสังคมสูงวัยด้วย ท่ามกลางความขัดแย้งนี้ เราจะมีทางรอดได้อย่างไร ?  


"วัยเกษียณ" สำหรับคนไทย เรามักจะนึกถึงคนอายุ 60 ปี แต่วันนี้อาจจะไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เมื่อหลายองค์กรเอกชนในไทยหลายแห่ง โดยเฉพาะภาคธนาคาร เริ่มเดินหน้าประกาศเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือสมัครใจลาออก กับพนักงานที่อายุเพียงแค่ 45 ปี พร้อมกับยื่นรางวัลข้อเสนอจูงใจมากมาย เช่น จ่ายเงินชดเชยตามอายุงาน และเงินช่วยพิเศษสูงสุดถึง 12 เดือน และความเคลื่อนไหวนี้ก็สร้างกระเพื่อมครั้งสำคัญ ทำให้หลายคนที่ได้เห็นข่าวเหล่านี้ แล้วอดรู้สึกตกใจไม่ได้ พร้อมกับตั้งคำถามว่า "เรา" เหลือเวลาและโอกาสทำงานอีกมากน้อยแค่ไหนกัน


อายุงานสั้นลง แถมจบมาจะหางานได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ความเสี่ยงของคนทำงานถาโถมเข้ามาราวกับสึนามิ ข้อมูลจากทางสภาพัฒน์ หรือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ล่าสุดออกมาเตือนว่าตอนนี้ งานประจำกำลังหายากขึ้นเรื่อยๆ เพราะธุรกิจหันไปจ้างแต่ฟรีแลนซ์ หรือพนักงานชั่วคราวมากกว่า  


โดยอ้างอิงจากผลสำรวจของ "Jobsdb" ในปีที่ผ่านมา ( 2567 ) พบว่าองค์กรในประเทศไทยมากกว่า 25% มีแนวโน้มจะลดพนักงานลงเพื่อลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กร และส่วนมากเป็นการลดการจ้างงานพนักงานประจำเต็มเวลา (Permanent full-time) และหันไปจ้างงานแบบไม่เต็มเวลามากขึ้น ทั้งพนักงานประจำไม่เต็มเวลา (Permanent part-time) และพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา (Contractual/temporary part-time) 


โดยเฉพาะองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่ๆ ที่พบว่ามีการจ้างพนักงานกลุ่มนี้มากขึ้นอย่างชัดเจน เช่น กลุ่มของพนักงานประจำไม่เต็มเวลาจาก 6% ในปี 2565 เพิ่มขึ้นมาเป็น 42% ในปี 2567 หรือจะเป็นกลุ่มสัญญาจ้าง หรือพนักงานชั่วคราว  จาก 4% ในปี 2565 มาเป็น 28% ในปี 2567 


นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ชี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เป็นเพราะปัญหาจากเศรษฐกิจ ที่มีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นบริษัทต่างๆ จึงต้องการลดต้นทุน และในขณะเดียวกันงานยุคนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาเป็นตัวช่วย จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้องค์กรต่างๆ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ้างงานแบบฟูลไทม์อีกต่อไป  นอกจากนี้ยังมีกระแสหรือเทรนด์ของ "Gig Economy" ที่กำลังมาแรง หมายถึงคนที่รับทำงานเป็นจ็อบเป็นชิ้นไป แค่รับจ้างตามชิ้นงานแล้วจบ ไม่มีการผูกมัดระยะยาว และสามารถรับงานได้หลายๆที่พร้อมกันด้วย 


แต่อย่างไรก็ตามเทรนด์เหล่านี้ และรูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนทิศทางไป ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง เพราะเป็นงานที่ไม่มีความมั่นคง ทั้งรายได้ที่ไม่แน่นอน และสิทธิดูแล คุ้มครองตามกฎหมายเหมือนกับพนักงานประจำ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรเร่งเข้ามากำกับดูแลอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการจ่ายค่าจ้างให้ถูกต้องตามกฎหมายและสิทธิของแรงงาน

สรุปข่าว

ยุคใหม่การทำงาน “วัยเกษียณ” อาจมาเร็วกว่าที่คิด เพราะหลายองค์กรเริ่มปลดคนวัย 45 ปีออกจากระบบ งานประจำหายาก ถูกแทนที่ด้วยฟรีแลนซ์–สัญญาจ้าง ขณะที่ AI เข้ามาแทนแรงงานมนุษย์ ทำให้คนวัยกลางคนเสี่ยงตกงาน–ไม่มีเงินออม ทั้งที่ยังมีภาระเลี้ยงดูครอบครัว สังคมกำลังเผชิญความเหลื่อมล้ำและช่องว่างดิจิทัล จนรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งวางนโยบายรับมือและสร้างระบบคุ้มครองแรงงานใหม่ก่อนจะสายเกินไป

โลกทำงานยุคใหม่ "เกษียณ"  อายุ 45 ปี  ไม่แก่แต่ไม่ทันโลก = ตกงานไม่รู้ตัว  


อายุแค่ 45 ปีก็กลายเป็นวันเกษียณแบบไม่รู้ตัว นี่คือเรื่องจริง สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองไทยและทั่วโลก เมื่อโลกการทำงานกำลังเปลี่ยนทิศทางไปแล้ว องค์กรไม่อยากเลี้ยงคนไว้นาน แถมงานประจำก็หายากมากขึ้น จ้างก็แต่ฟรีแลนซ์ แต่ในขณะเดียวเราก็อยู่ในยุคของสังคมสูงวัยด้วย ท่ามกลางความขัดแย้งนี้ เราจะมีทางรอดได้อย่างไร ?  


"วัยเกษียณ" สำหรับคนไทย เรามักจะนึกถึงคนอายุ 60 ปี แต่วันนี้อาจจะไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เมื่อหลายองค์กรเอกชนในไทยหลายแห่ง โดยเฉพาะภาคธนาคาร เริ่มเดินหน้าประกาศเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือสมัครใจลาออก กับพนักงานที่อายุเพียงแค่ 45 ปี พร้อมกับยื่นรางวัลข้อเสนอจูงใจมากมาย เช่น จ่ายเงินชดเชยตามอายุงาน และเงินช่วยพิเศษสูงสุดถึง 12 เดือน และความเคลื่อนไหวนี้ก็สร้างกระเพื่อมครั้งสำคัญ ทำให้หลายคนที่ได้เห็นข่าวเหล่านี้ แล้วอดรู้สึกตกใจไม่ได้ พร้อมกับตั้งคำถามว่า "เรา" เหลือเวลาและโอกาสทำงานอีกมากน้อยแค่ไหนกัน


อายุงานสั้นลง แถมจบมาจะหางานได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ความเสี่ยงของคนทำงานถาโถมเข้ามาราวกับสึนามิ ข้อมูลจากทางสภาพัฒน์ หรือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ล่าสุดออกมาเตือนว่าตอนนี้ งานประจำกำลังหายากขึ้นเรื่อยๆ เพราะธุรกิจหันไปจ้างแต่ฟรีแลนซ์ หรือพนักงานชั่วคราวมากกว่า  


โดยอ้างอิงจากผลสำรวจของ "Jobsdb" ในปีที่ผ่านมา ( 2567 ) พบว่าองค์กรในประเทศไทยมากกว่า 25% มีแนวโน้มจะลดพนักงานลงเพื่อลดต้นทุนและปรับโครงสร้างองค์กร และส่วนมากเป็นการลดการจ้างงานพนักงานประจำเต็มเวลา (Permanent full-time) และหันไปจ้างงานแบบไม่เต็มเวลามากขึ้น ทั้งพนักงานประจำไม่เต็มเวลา (Permanent part-time) และพนักงานสัญญาจ้าง/พนักงานชั่วคราวไม่เต็มเวลา (Contractual/temporary part-time) 


โดยเฉพาะองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่ๆ ที่พบว่ามีการจ้างพนักงานกลุ่มนี้มากขึ้นอย่างชัดเจน เช่น กลุ่มของพนักงานประจำไม่เต็มเวลาจาก 6% ในปี 2565 เพิ่มขึ้นมาเป็น 42% ในปี 2567 หรือจะเป็นกลุ่มสัญญาจ้าง หรือพนักงานชั่วคราว  จาก 4% ในปี 2565 มาเป็น 28% ในปี 2567 


นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ ชี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เป็นเพราะปัญหาจากเศรษฐกิจ ที่มีความไม่แน่นอนสูง ดังนั้นบริษัทต่างๆ จึงต้องการลดต้นทุน และในขณะเดียวกันงานยุคนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาเป็นตัวช่วย จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้องค์กรต่างๆ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ้างงานแบบฟูลไทม์อีกต่อไป  นอกจากนี้ยังมีกระแสหรือเทรนด์ของ "Gig Economy" ที่กำลังมาแรง หมายถึงคนที่รับทำงานเป็นจ็อบเป็นชิ้นไป แค่รับจ้างตามชิ้นงานแล้วจบ ไม่มีการผูกมัดระยะยาว และสามารถรับงานได้หลายๆที่พร้อมกันด้วย 


แต่อย่างไรก็ตามเทรนด์เหล่านี้ และรูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนทิศทางไป ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง เพราะเป็นงานที่ไม่มีความมั่นคง ทั้งรายได้ที่ไม่แน่นอน และสิทธิดูแล คุ้มครองตามกฎหมายเหมือนกับพนักงานประจำ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรเร่งเข้ามากำกับดูแลอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการจ่ายค่าจ้างให้ถูกต้องตามกฎหมายและสิทธิของแรงงาน

เกษียณอายุก่อนกำหนด สมัครใจลาออก ต้องหางานรองรับต่อ เลี้ยงชีพให้ถึง 80 ปี  


ส่วนกรณีการเปิดสมัครใจลาออก หรือการเกษียณอายุที่ 45 ปี นายดนุชา มองว่า เป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เพราะบริษัทต้องการปรับโครงสร้างองค์กร และต้องการให้มีแรงงานใหม่ๆ ที่มีค่าจ้างที่ถูกกว่าเข้ามาทดแทน แต่อย่างไรก็ตามต้องย้ำเตือนคนทำงานที่คิดจะร่วมโครงการเหล่านี้ ว่าควรเตรียมความพร้อมให้รัดกุม 


โดยเฉพาะในเรื่องของอาชีพรองรับหลังจากลาออกมาแล้ว ว่าออกมาแล้วจะทำอะไรต่อไป เนื่องจากเงินก้อนหรือเงินชดเชยที่ได้รับมาจากการสมัครใจลาออกอาจจะไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพในระยะยาวหรือยั่งยืน  เพราะต้องยอมรับว่าในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ คงไม่สามารถลาออกไปแล้วอยู่รอดหรือเลี้ยงชีพได้โดยที่ไม่ต้องทำงานอีก และเงินที่ได้จากสมัครใจออกเอง แม้จะมากแค่ไหน ก็ไม่เชื่อว่าจะช่วยทำให้อยู่ได้ถึง 80 ปี ตามอายุเฉลี่ยของคนยุคนี้ ดังนั้นหากไม่มีการเตรียมพร้อมให้ ก็อาจจะเป็นปัญหาสังคมในระยะถัดไปได้


"เอไอ" แรงกระแทกสำคัญ เป็นทั้งตัวช่วยและแทนที่มนุษย์ 


ยุคแห่ง AI ยุคปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีล้ำสมัย กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน ที่ทุกองค์กรต้องการและขาดไม่ได้  แม้จะเป็นประโยชน์ แต่ก็อาจจะทำให้คนตกงานได้เช่นกัน เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันจับตาและเฝ้าระวัง โดยนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มองว่ารัฐบาลจำเป็นต้องเร่งวางแผนรับมือให้ทันท่วงที เพื่อป้องกันก่อนเกิดวิกฤต และกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม


นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ว่าแนวโน้มการเกษียนวัย 45 ปี จะมากขึ้นในอนาคตนี้  เพราะบางธุรกิจ บางอุตสาหกรรม ต้องการดต้นทุน และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและผลิตภาพ และเพื่อปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดรับกับเทคโนโลยีการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) และเทคโนโลยีเอไอ


ดังนั้นสิ่งที่จะตามมา คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะธุรกิจการเงิน การบริการ สื่อมวลชน ผู้บริหารระดับกลางจะถูกแทนที่โดยเอไอมากขึ้น แรงงานที่มีอายุเกิน 45-50 ปีที่ปรับทักษะใหม่ไม่ทัน ก็จะถูกเอาออก และแทนที่ด้วยคนรุ่นใหม่ ที่เงินเดือนน้อยกว่า แต่ใช้เทคโนโลยีได้ดีกว่า แต่ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวยังต้องเฝ้าระวัง เพราะอาจทำให้องค์กรอยู่รอดได้แต่ไม่ยั่งยืน เมื่อระบบเศรษฐกิจและสังคมได้รับผลกระทบ องค์กรก็จะได้รับผลกระทบในท้ายที่สุด


นายอนุสรณ์ ย้ำว่า ภาวะ “ยังไม่แก่แล้วไม่มีงานทำ ไม่มีเงินออม ยังมีภาระผ่อนบ้าน มีภาระดูแลลูกและพ่อแม่” จะทำให้เกิดการล่มสลายทางการเงินของมนุษย์เงินเดือนวัยกลางคนในบางธุรกิจอุตสาหกรรม รัฐบาลและสังคมไทยต้องมีมาตรการและนโยบายในการรับมือเพราะจะเป็นปัญหาใหญ่โตในอนาคตได้


นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น ทั้งในแง่ทุน และแรงงาน โดยเฉพาะการผูกขาดด้านเทคโนโลยี เมื่อมีไม่กี่บริษัทที่ควบคุมตลาดโลก ทำให้ธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็ก หรือบริษัทใหญ่ในประเทศไม่มีอำนาจต่อรองไม่สามารถแข่งขันได้ กลุ่มทุนเจ้าของเทคโนโลยีสามารถสะสมความมั่งคั่งจนล้นเกิน ขณะที่แรงงานเผชิญการถูกแทนที่โดยเทคโนโลยี และค่าจ้างก็หยุดนิ่งไป 


ภายใต้เศรษฐกิจแบบดิจิทัล และยังทำให้เกิดช่องว่างดิจิทัล หรือ Digital Divide ซึ่งแปลความให้ง่ายก็คือ ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต หมายถึง ช่องว่างระหว่างกลุ่มที่เข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลกับกลุ่มที่เข้าไม่ถึง เราจึงเห็นความแตกต่างของการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนา ระหว่างพื้นที่ในเมืองใหญ่กับชนบท


ทั้งนี้บางประเทศมีการเก็บภาษีเพื่อมาใช้สำหรับสวัสดิการแรงงาน บางประเทศไม่เก็บเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งลดแรงงานจูงใจในการพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยนายอนุสรณ์ได้เสนอแนะว่าการพัฒนาเกี่ยวกับ AI นั้นควรมีการจัดตั้ง National AI Office ขึ้นมา และมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจะทำให้เกิดระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต การคุ้มครองทางสังคมแบบถ้วนหน้า และสนับสนุนให้มีการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเสมอภาค 


ถ้าหากรัฐบาลมีมาตรการและนโยบายในการเปลี่ยนผ่านเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆได้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้ GDP ไทยมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นและเพิ่มศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน


สมัยก่อน 60 คือวัยเกษียณ แต่มาวันนี้ แค่อายุขึ้นหลัก 4 เรากลับต้องอยู่บนความเสี่ยงแล้ว เพราะเอไอที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก ทั้งการทำงาน และอนาคต  แค่เดินตามเฉยๆอาจยังอาจจะตกขบวนได้ วันนี้วิ่งได้ก็ต้องวิ่ง และวางแผนชีวิตเตรียมพร้อมให้ทัน รับมือให้ดี