"ดรีมทีมเศรษฐกิจ" รับโจทย์ "แก้บาทแข็ง" จับตาส่งออกทองคำ

 "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" รับโจทย์ "แก้บาทแข็ง" จับตาส่งออกทองคำ

 "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" รับโจทย์แก้บาทแข็ง  จับตาส่งออกทองคำ


นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี นำว่าที่รัฐมนตรีในรัฐบาล “อนุทิน 1” โดยเฉพาะ“ดรีมทีมเศรษฐกิจ เช่น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  นางศุภจี สุธรรมพันธ์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามาพบปะหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  เมื่อวานนี้ (15 กันยายน 2568)


นายอนุทิน ระบุว่า แม้รัฐบาลชุดนี้จะยังไม่ได้เข้ามาทำงานอย่างเต็มตัว แต่ก็จะพยายามทำงานให้ไว ซึ่งแม้ขณะนี้ การตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการนำรายชื่อรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จึงได้ประสานกับ ส.อ.ท.เพื่อมาร่วมหารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมร่วมกัน โดยตั้งใจมารับฟังข้อห่วงใย และข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากภาคเอกชน


พร้อมระบุว่า นโยบายของรัฐบาลที่กำลังเกิดขึ้น มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้น และการวางรากฐาน เพื่อการต่อยอดความมั่นคงระยะยาว และขยายความร่วมมือ ดังนั้น ขณะนี้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาผู้ประกอบการ ซึ่งไทย-กัมพูชา ยังมีการค้าขายกันอยู่ แต่ด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจนถึงทุกวันนี้ และด้วยเงื่อนไขข้อจำกัดต่าง ๆ จึงทำให้การเปิดด่านยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะสั้นนี้


นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า “การเปิดด่าน จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้นนี้ เพราะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เราเป็นผู้กำหนด เราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่เราจะใช้ทุกวิธี ทั้งการทหาร การทูต และหารือกับกัมพูชา ซึ่งจะใช้ทุกองคาพยพ แก้ปัญหาความขัดแย้งของประเทศโดยเร็วที่สุด”


โดยยืนยันว่า จะขับเคลื่อนการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่อยู่ในโครงการไทยแลนด์พลัสวัน และพร้อมสนับสนุนเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับคู่แข่งทางการค้าในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) และต้องหารือกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในเรื่องส่งเสริมการลงทุนด้วย


ส่วนกรณีข้อกังวลของภาคเอกชนในเรื่องเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ทีมงานของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ไปหารือในรายละเอียดกับ ส.อ.ท.ไว้ก่อน เพื่อพิจารณาถึงผลกระทบต่อภาคการส่งออก และแนวทางในการแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งเมื่อรัฐมนตรีคลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว จะได้เริ่มงานได้ทันที


สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องการส่งออกทองคำไปกัมพูชาในจำนวนมากผิดปกตินั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ว่าที่รัฐมนตรีคลังไปช่วยดูในเรื่องดังกล่าว ซึ่งหากพบว่ามีการส่งออกทองคำในปริมาณที่ผิดปกติ ก็ให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย

สรุปข่าว

นายกฯอนุทิน จับมือ "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" รับโจทย์แก้บาทแข็ง จับตาส่งออกทองคำ

 "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" รับโจทย์แก้บาทแข็ง  จับตาส่งออกทองคำ


นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี นำว่าที่รัฐมนตรีในรัฐบาล “อนุทิน 1” โดยเฉพาะ“ดรีมทีมเศรษฐกิจ เช่น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  นางศุภจี สุธรรมพันธ์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เข้ามาพบปะหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  เมื่อวานนี้ (15 กันยายน 2568)


นายอนุทิน ระบุว่า แม้รัฐบาลชุดนี้จะยังไม่ได้เข้ามาทำงานอย่างเต็มตัว แต่ก็จะพยายามทำงานให้ไว ซึ่งแม้ขณะนี้ การตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการนำรายชื่อรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จึงได้ประสานกับ ส.อ.ท.เพื่อมาร่วมหารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมร่วมกัน โดยตั้งใจมารับฟังข้อห่วงใย และข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากภาคเอกชน


พร้อมระบุว่า นโยบายของรัฐบาลที่กำลังเกิดขึ้น มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้น และการวางรากฐาน เพื่อการต่อยอดความมั่นคงระยะยาว และขยายความร่วมมือ ดังนั้น ขณะนี้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาผู้ประกอบการ ซึ่งไทย-กัมพูชา ยังมีการค้าขายกันอยู่ แต่ด้วยความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจนถึงทุกวันนี้ และด้วยเงื่อนไขข้อจำกัดต่าง ๆ จึงทำให้การเปิดด่านยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะสั้นนี้


นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า “การเปิดด่าน จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้นนี้ เพราะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เราเป็นผู้กำหนด เราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่เราจะใช้ทุกวิธี ทั้งการทหาร การทูต และหารือกับกัมพูชา ซึ่งจะใช้ทุกองคาพยพ แก้ปัญหาความขัดแย้งของประเทศโดยเร็วที่สุด”


โดยยืนยันว่า จะขับเคลื่อนการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่อยู่ในโครงการไทยแลนด์พลัสวัน และพร้อมสนับสนุนเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับคู่แข่งทางการค้าในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) และต้องหารือกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในเรื่องส่งเสริมการลงทุนด้วย


ส่วนกรณีข้อกังวลของภาคเอกชนในเรื่องเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ทีมงานของนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ไปหารือในรายละเอียดกับ ส.อ.ท.ไว้ก่อน เพื่อพิจารณาถึงผลกระทบต่อภาคการส่งออก และแนวทางในการแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งเมื่อรัฐมนตรีคลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว จะได้เริ่มงานได้ทันที


สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตเรื่องการส่งออกทองคำไปกัมพูชาในจำนวนมากผิดปกตินั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มอบหมายให้ว่าที่รัฐมนตรีคลังไปช่วยดูในเรื่องดังกล่าว ซึ่งหากพบว่ามีการส่งออกทองคำในปริมาณที่ผิดปกติ ก็ให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย

เอกชนเสนอ 5 เรื่องเร่งด่วนฟื้นอุตสาหกรรม-เศรษฐกิจ 


นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.เสนอแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรม 5 เรื่องระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย


1. การเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐและสงครามการค้าที่ยังต้องดำเนินการต่อ โดยเฉพาะในรายละเอียดเรื่อง Local Content ว่าจะใช้มาตรฐานใด และอุตสาหกรรมใดที่ทำได้ และอุตสาหกรรมใดที่ทำไม่ได้ รวมถึงจะมีมาตรการเยียวยาอย่างไรต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยถูกสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีอัตราที่ 19% แต่จะมีการเรียกภาษีอยู่ 2 กรณี คือ


กรณีที่ 1 

สำหรับการเรียกเก็บภาษีอัตราที่ 19% ใช้กับสินค้าที่ตกอยู่ในขอบเขตของมาตรการนี้โดยรวมยกเว้นสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรา 232 เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็กและอลูมิเนียม ทองแดงกึ่งสำเร็จรูป เพราะสินค้ากลุ่มนี้มีกรอบกฎเกณฑ์ต่างหาก


กรณีที่ 2 

เรียกเก็บภาษีอัตราที่ 40% จะบังคับใช้เมื่อสินค้าถูกพิจารณาว่า เกิดจากการสวมสิทธิ์ของประเทศที่สาม หรือมีกรณี transshipment โดยสินค้าในกรณีนี้จะต้องผ่านการตรวจสอบและพิสูจน์โดย U.S. Customs and Border Protection (CBP) ก่อน และหากพบการสวมสิทธิ์จริงจะถูกเรียกเก็บอัตรานี้ 


ดังนั้น ส.อ.ท.จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสหรัฐ การจัดตั้งหน่วยงานเพื่อให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณ RVC ตลอดจนการส่งเสริมผู้ประกอบการในการปรับตัวเพื่อปรับซัพพลายเชนของไทยให้ยืดหยุ่นและทันสมัย พร้อมเน้นย้ำมาตรการเชิงรุกด้านการค้าระหว่างประเทศและส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand: MiT)


2.การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการหลั่งไหลของสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาด ซึ่งไทยโดนมากที่สุด และกระทบกับ SME จำนวนมาก โดยคาดว่าหากสถานการณ์ดังกล่าวยังดำเนินการต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อกลุ่ม SME เพิ่มขึ้นจาก 24 กลุ่ม เป็น 30 กลุ่ม แต่ก็เชื่อว่า สถานการณ์ดังกล่าว นายกฯ น่าจะเข้าใจดี


3.การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการและประชน ซึ่งวันนี้ผู้ประกอบการประสบปัญหาต้นทุนราคาพลังงานที่ค่อนข้างสูง ซึ่งจะต้องลดราคาพลังงานลงให้ได้ ส.อ.ท.ไม่เห็นด้วยกับการแยกสัดส่วนการใช้แก๊ส โดยให้เอกชนใช้ก๊าซนำเข้าราคาสูงแม้จะแก้ปัญหาค่าไฟ


ทั้งนี้ ภาครัฐเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้เสร็จภายในปี 2568 เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในมิติสิ่งแวดล้อมด้วยราคาที่เป็นธรรมและมีความมั่นคงด้านพลังงาน และเสนอให้ปรับโครงสร้างการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า รวมทั้งปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีประวัติการชำระตามกำหนด เพื่อบรรเทาภาระด้านการเงิน และเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ


4.การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระยะเร่งด่วน ควรมุ่งเน้นการลดค่าใช้จ่ายด้านการโลจิสติกส์ผ่านการเสริมช่องทางโลจิสติกส์เดิม การเพิ่มเรือชายฝั่งในการส่งสินค้า เข้าในช่องทางที่ไม่ใช่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดกัน เช่น จันทบุรี และตราด และการพิจารณาอนุญาตให้ส่งออกและนำเข้าสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน ที่จะนำไปเข้าสู่กระบวนการผลิตใน Supply Chain ได้ในด่านที่ไม่มีความขัดแย้ง


ระยะสั้น 

เสนอแนะให้พิจารณา Soft Loan ให้ผู้ประกอบการเพื่อรักษาสภาพคล่องของกลุ่ม SME ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา หรือผู้ที่มีหลักฐานการค้าขายต่อเนื่องกับกัมพูชา


ระยะยาว 

พิจารณาตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่จะให้ทั้งสองประเทศกลับมาทำการค้าร่วมกัน และมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมาย สร้างความเจริญเติบโตร่วมกันให้กับภูมิภาค


5.การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งศึกษาและแยกแยะผลกระทบจากธุรกรรมทองคำ คริปโตเคอร์เรนซี และการโอนเงินแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านระบบ



นอกจากนี้ ยังเสนอให้ส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ในการค้าระหว่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน+3 และสนับสนุนผู้ประกอบการในการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เช่น FX Options และ Forward Contract ด้วยมาตรการช่วยลดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเบื้องต้น


อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลเรื่องค่าเงินอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันค่าเงินบาทไม่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจ โดยเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แม้จะมีการลดอัตราดอกเบี้ย แต่เงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นผลมาจากการเร่งส่งออก ทำให้ยอดส่งออกสูงกว่าปกติ ซึ่งปัจจุบันควรจะอ่อนค่าแต่กลับแข็งค่ามาก จึงต้องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น


ทั้งนี้ ส.อ.ท.ตั้งข้อสังเกตถึงตัวเลขการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชา ซึ่งจากตัวเลขของกรมศุลกากรและกระทรวงพาณิชย์ พบว่าเติบโตก้าวกระโดดผิดปกติ โดยในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 100,500 ล้านบาท และในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ (2568) สูงถึง 67,000-71,000 ล้านบาท และเฉพาะเดือน ก.ค.เพียงเดือนเดียว มีมูลค่าถึง 8,000 ล้านบาท 


สำหรับตัวเลขเหล่านี้ชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติ ดังนั้น รัฐบาลอาจพิจารณา “แยกบัญชี” การซื้อขายเงินตราต่างประเทศสำหรับธุรกรรมบางประเภท เพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท


นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวและการแข่งขันของประเทศด้วย ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย โดยเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามที่ค่าเงินอ่อนตัวกว่า 3% ในขณะที่ไทยแข็งค่าเกือบ 8% ทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาสูงขึ้นและแข่งขันได้ยากในตลาดโลก


ส.อ.ท. ระบุว่า ส่วนของระดับที่เหมาะสมของค่าเงินบาท เห็นว่าควรจะอยู่ในช่วง 34-35 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่สมดุลระหว่างภาคการส่งออกและการนำเข้า ทั้งนี้ นายกฯ อนุทิน ได้รับปากที่จะนำข้อเสนอของ ส.อ.ท.ไปพิจารณาและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นในช่วง 4 เดือนข้างหน้า เพราะมองว่าภาคอุตสาหกรรมถือเป็น 1 ใน 3 ภาคส่วนสำคัญต่อ GDP ประเทศ”