
งานสัมมนา TRANSFORMINGTHAILAND "ปรับโฉมไทย สู่อนาคต และความยั่งยืน" บนเวที "ธุรกิจผู้ชนะ 2025" ซึ่งจัดโดย TNN ได้มีผู้บริหารธุรกิจร้านอาหาร ขนม และแบรนด์เครื่องดื่ม ชั้นนำของเมืองไทย ร่วมขึ้นเวทีพูดคุยถึงกลยุทธ์ และทิศทางของธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งในเรื่องของภารวมเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่มีความดุเดือด เพื่อแย่งชิงฐานลูกค้า และส่วนแบ่งการตลาดให้กับแบรนด์
สรุปข่าว
งานสัมมนา TRANSFORMINGTHAILAND "ปรับโฉมไทย สู่อนาคต และความยั่งยืน" บนเวที "ธุรกิจผู้ชนะ 2025" ซึ่งจัดโดย TNN ได้มีผู้บริหารธุรกิจร้านอาหาร ขนม และแบรนด์เครื่องดื่ม ชั้นนำของเมืองไทย ร่วมขึ้นเวทีพูดคุยถึงกลยุทธ์ และทิศทางของธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งในเรื่องของภารวมเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รวมไปถึงการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่มีความดุเดือด เพื่อแย่งชิงฐานลูกค้า และส่วนแบ่งการตลาดให้กับแบรนด์
โดยเวทีดังกล่าวมีผู้บริหารชั้นนำประกอบไปด้วย ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยโคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO, คุณแม่ทัพ ต.สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU, นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัม มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO และคุณสุรเวช เตลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด ร่วมพูดคุยบนเวที
โดยดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยโคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทคาดหวังการเติบโตของรายได้ที่ระดับ 20% ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนที่เติบโตระดับ 40% ถึงแม้ว่าจะเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และการค้าโลก
โดยเฉพาะ "ภาษีทรัมป์" ที่อาจจะส่งผลให้ตลาดอเมริกาชะงักบ้าง แต่บริษัทมีการส่งออกไปยัง 100 ประเทศทั่วโลก ซึ่งสามารถกระจายความเสี่ยงให้กับรายได้ในหลายภูมิภาค โดยตลาดในเอเชีย และยุโรปยังสามารถเติบโตได้ ทำให้ในภาพรวมรายได้ของบริษัทยังคงเติบโตได้ เนื่องจากน้ำมะพร้าวน้ำหอมไทยมีความต้องการในตลาดโลกที่สูง เป็นอาหารสุขภาพที่ราคาจับต้องได้ รสชาติที่โดดเด่น
ในขณะเดียวกันบริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังประเทศเกาหลีโดยเน้นไปที่ร้านสะดวกซื้อที่มีสาขากว่า 15,000 สาขา และสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ หรือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เพิ่มเติม รองรับกระแสการดูแลสุขภาพที่กลายมาเป็น Megatrend ในปัจจุบัน
ในขณะที่แผนการผลิตน้ำกะทิ บริษัทได้ลงทุนตั้งโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเป็นการบริหารความเสี่ยงในเรื่องของวัตถุดิบมะพร้าวแก่ที่มีอยู่ปริมาณมาก และมีราคาถูกในประเทศฟิลิปปินส์ เป็นการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทต้องนำเข้ามะพร้าวแก่มาจากประเทศ ซึ่งมีต้นทุนที่สูงกว่า
ทั้งนี้บริษัทยังคงมุ่งเน้นในการรักษามาตรฐาน และพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการวิเคราะห์ผู้บริโภคเชิงลึก การสรรหาคู่ค้าที่มีศักยภาพ ตอกย้ำความเป็น Specialist ในอุตสาหกรรมน้ำมะพร้าวในระดับโลก เพื่อสร้างการเติบโตที่โดเด่น และยั่งยืนในอนาคต
ด้านคุณแม่ทัพ ต.สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดการแข่งขันของร้านขนมหวานปัจจุบันก็ถือว่าดุเดือดเช่นเดียวกัน ปัจจุบันมีการเปิดร้านอาหาร ร้านขนมแทบทุกวัน และก็มีร้านที่ปิดตัวลงแทบทุกวัน ซึ่งบริษัทเองก็เคยทดลองมาแล้วหลากหลายแบรนด์ ซึ่งก็มีบางส่วนที่ไม่ประสบความสำเร็จ
ส่วนจุดแข็งของบริษัทนั้นมองว่า การที่เราได้เป็นผู้เริ่มต้นก่อน (First mover) ก็เป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ ทำให้กลายเป็น Top of Mind ของหลายๆคน ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ผ่านการพิสูจน์ด้วยเวลา ว่าเราต้องการเป็นผู้ให้บริการร้านขนมหวานเบอร์ 1 อย่างแท้จริง
“ที่สำคัญทางด้านมาตรฐานยังไงก็ต้องรักษา ไม่ว่าจะขายถูกหรือแพง แต่สุดท้ายลูกค้าเดินออกจากร้านต้องรู้สึกว่า มื้อนี้ดี เดี๋ยววันหลังมาอีก ซึ่งจะเกิดเป็นคำว่า Trust ความไว้วางใจในแบรนด์ แต่ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามอย่างสูง” คุณแม่ทัพ กล่าว
สำหรับเป้าหมายต่อไปในการดำเนินธุรกิจ บริษัทมีแผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นไปอย่างระมัดระวัง แตกต่างจากเมื่อก่อนที่เน้นทำการตลาด แต่ปัจจุบันต้องมีการศึกษาตลาดอย่างละเอียด ว่าการเติบโตของรายได้จะเป็นอย่างไร และจะสามารถคืนทุนได้ในระยะเวลากี่เดือน
นอกจากนี้บริษัทยังมีการเพิ่มแบรนด์ลูกในเครือออกมาอีกอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์ ในเครือได้แก่ After You , Mikka Coffee, SongWat Coffee Roasters, Someday In Copenhagen เเละลูกก๊อ (Luggaw)
สำหรับการเติบโตในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาก็ถือว่ามีการเติบโตได้ดี ซึ่งมาจากหลายๆวีธี โดยบริษัทมีการปรับช่องทางรายได้หลัก โดยไม่ให้น้ำหนักไปยังช่องทางรายได้ธุรกิจ Cafe แบบเดิม 100%
จึงมีการปรับกลยุทธ์ใหม่ แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจ Cafe และ Non Cafe โดยเริ่มต้นด้วยการผลิตสินค้าสำเร็จรูปที่สามารถขายได้นอกร้าน Cafe เข้าสู่โมเดิร์นเทรด เข้าสู่ร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเองหรือร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ และปัจจุบันสามารถปรับสัดส่วนรายได้มาเป็น ธุรกิจ Cafe ราว 70% และ Non Cafe ราว 30% ซึ่งเป็นการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ๆ ของบริษัท ซึ่งโปรดักส์หลายตัวในอนาคตบริษัท อยากส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศ ซึ่งได้เริ่มขึ้นในปีนี้เป็นปีแรก
ในขณะที่นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัม มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตปีละ 30% ใน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2023-2027 โดยเน้นการเติบโตด้วยการขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มเติม และสร้างประสบการณ์ที่ดีในเรื่องอาหารให้กับลูกค้า
โดยในปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์ร้านอาหารรวม 7 แบรนด์ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น 5 แบรนด์ ร้านอาหารเกาหลี 1 แบรนด์ และร้านอาหารตะวันตก 1 แบรนด์ โดยบริษัทยงคงมุ่งเน้นการเป็นร้านอาหารพรีเมี่ยม ที่มีคุณภาพ รสชาติอร่อย คุ้มค่า และยังสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีในเรื่องอาหารเพื่อสร้างการกลับมาใช้บริการซ้ำอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกันบริษัทให้ความสำคัญในมาตรฐานการบริการ สร้างเอกลักษณ์ให้กับแต่ละแบรนด์สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น และแข็งแรง สร้างความแตกต่างให้กับแต่ละแบรนด์ สามารถที่จะตอบโจทย์ความต้องการในกลุ่มเป้าหมายในแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกันได้
ในขณะที่ในปัจจุบันถึงแม้ว่าอุตสาหกรรมร้านอาหารจะเผชิญกับความท้าทายในหลาย ๆ ด้าน แต่โดยภาพรวมก็ยังมีโอกาสในการเติบโตได้ในหาลาย Segment ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จากการที่รับประทานอาหารนอกบ้านบ่อย กลายเป็นการเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณภาพมากขึ้น
ผู้บริโภคมีความต้องการในเรื่องของความคุ้มค่า ความสุข รสชาติ และประสบการณ์ที่ดีในการรับประทานอาหารที่มากกว่าในเรื่องของราคา สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างตรงจุด และที่สำคัญประเทศไทยยังคงเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องธุรกิจค้าปลีก จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของร้านอาหารได้ในอนาคต
สุดท้ายที่คุณสุรเวช เตลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอาหารของประเทศไทยในปี 2568 ภาพรวมมีการเติบโตขึ้น แต่อาจจะไม่ได้โตทุกราย เนื่องจากมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด และมีผู้เล่นบางส่วนที่หายไป ส่วนปี 2567 ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลาดในประเทศมีการเติบโตสูงมาก จึงมองว่าปีนี้อาจจะโตต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ส่วนการแข่งขันมีแนวโน้มที่ดุเดือดมากขึ้น และยังไม่มีภาพของเศรษฐกิจที่ชัดเจนว่าตลาดอาหารจะกลับมาเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน
“ซึ่งภาพรวมตลาดชาบูในที่ได้รับความนิยม จะอยู่ในระดับราคา 200-300 บาทต่อหัว ซึ่งถือว่ามีการแข่งขันอย่างดุเดือด” คุณสุรเวช กล่าว
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจที่ผันผวนนั้น มีส่วนในการส่งผลต่อพฤติกรรมการทานอาหารนอกบ้านของผู้บริโภค ทำให้ผู้คนอาจจะไม่ค่อยมีอารมณ์ในการออกมาทานอาหารนอกบ้านมากนัก รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยค่อนข้างต่ำกว่าเดิม ทำให้ตลาดร้านอาหารที่ทานอกบ้านยอดขายซึมลงไปบ้าง แต่สำหรับตลาดเดลิเวอรี่ก็ยังเติบโตได้ดี
ทางด้านร้านของ Mo-Mo-Paradise ก็ถือว่ายังมีการเติบโตได้ดี เพราะเรา ไม่ได้เน้นการแข่งขันด้านการตลาดมากนัก แต่จะเน้นด้าน Core business รสชาติการ บริการเป็นหลัก ซึ่งการเติบโตของเราไม่ได้หวือหวา แต่ก็มีทิศทางที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์ของเราคือ ตลาดของราคา 200-300 บาทต่อหัว ไม่ได้ชนกับเราซะทีเดียว เราจึงเน้นสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า การบอกปากต่อปาก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจไม่ดีนัก บริษัทจึงไม่ได้มีการขยายสาขา แต่ได้กลับมาปรับปรุงทีมงาน ปรับปรุงระบบโดยรวมใหม่ ซึ่งก็ทำให้เห็นว่าจะมีสาขาเท่าเดิมแต่ ในปี 2568 นี้ภาพรวมการเติบโตต่อสาขาเดิม (SSSG) มีการเติบโตมากขึ้น ซึ่งอาจไม่ได้เป็นการเติบโตสูงมากนักแต่ก็ถือว่าเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันบริษัทมีสาขา Mo-Mo-Paradise ทั้งหมด 29 สาขา Mo-Mo-Paradise (Gold) 2 สาขา Nabezo Premium 3 สาขา Guljak Topokki Chicken 2 สาขา เเละ Gyukatsu Kyoto Katsugyu 3 สาขา อย่างไรก็ตามปี 2569 บริษัทมีแผนจะเริ่มขยายสาขาใหม่ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีแผนการนำแบรนด์ใหม่เข้ามาสู่ตลาดในประเทศ
ความท้าทายของการนำแบรนด์ร้านอาหารจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย คือการทำยังไงก็ตามให้ลูกค้าเข้าใจถึงอาหารนั้นๆ และมีการตอบรับที่ดีกับอาหารนั้นๆให้ได้ ซึ่งลูกค้าแต่ละคนมีภาพจำแตกต่างกันเกี่ยวกับอาหาร ซึ่งปัจจุบันอาหารญี่ปุ่นก็มีความแตกต่างแยกย่อยหลายประเภท
สำหรับการเติบโตของ บริษัทปัจจุบันมีรายได้ในระดับ 1,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ก็มองว่าอาจจะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 10% และในระยะถัดราว 5 ปีต่อจากนี้รายได้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสองเท่า
สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญเราต้องทำให้ลูกค้าอยากกลับเข้ามาใช้บริการของเรา ซึ่งหากอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยทำได้ดี ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความเชื่อถือ และกลับมาทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งหากย้อนกลับไปในอดีต 20 ปีที่ผ่านมาการทานอาหารนอกบ้านยังไม่ได้ได้รับความนิยมมากนัก ซึ่งปัจจุบันถือว่าผู้บริโภคมีการรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นจำนวนมาก โดยภาพรวมร้านอาหารปี 2568 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 500,000 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับช่วงการก่อน โควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาท ถือว่าเติบโตขึ้นมากกว่าเดิม
ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับการทำธุรกิจไม่อยากให้มองผลกำไรเป็นตัวตั้ง แต่ควรมองว่าอยากจะส่งมอบอะไรให้กับลูกค้า ซึ่งนั่นจะนำมาซึ่งความยั่งยืน และทำให้มีลูกค้ากลับมาใช้บริการของเรา และสุดท้ายจะส่งมาเป็นผลกำไรให้แก่บริษัทได้เอง ซึ่งปัจจุบันบริษัทเราเติบโตขึ้นมามากแล้วแต่เราก็ยังเน้นการทำอย่างนั้นอยู่
- "MAGURO" กางแผน 5 ปี รายได้โตปีละ 30% เดินหน้าขยายสาขา สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า
- "COCOCO" ลุ้นโต 20% กางแผนรุกตลาดเกาหลี ชู "น้ำมะพร้าวไทย" ครองใจต่างชาติ
- "COCOCO" เสริมประสิทธิภาพการผลิต บุกฐานผลิต "ฟิลิปปินส์" เจาะแหล่งมะพร้าวต้นทุนต่ำ รับดีมานด์พุ่ง
- COCOCO Q2/68 กำไรโต 20% รายได้พุ่ง กะทิ-น้ำมะพร้าว-เพ็ทฟู้ด ดัน
- ธุรกิจร้านอาหารวิกฤตจริงหรือ? นายกสมาคมฯ ชี้ "ยอดขายทรุด" เหลือรอดแค่ 20%
ที่มาข้อมูล : TRANSFORMINGTHAILAND
ที่มารูปภาพ : TNN
