"อนุทิน" รับข้อเสนอ "หอการค้า" ผนึกรัฐมนตรีดรีมทีม แก้เศรษฐกิจ ฟื้นเชื่อมั่น ใน 4 เดือน

 "อนุทิน" รับข้อเสนอ "หอการค้า" ผนึกรัฐมนตรีดรีมทีม แก้เศรษฐกิจ ฟื้นเชื่อมั่น ใน 4 เดือน

นายกฯอนุทิน พร้อม "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" เดินหน้าลุยงาน หารือสภาหอการค้าฯ เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นใน 4 เดือน  


นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการเข้าหารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในวันนี้(18 กันยายน 2568) ระบุว่า ตนเองและทีมงานพยายามที่จะไปพบภาคเอกชนในช่วงก่อนที่จะเข้าไปทำการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมารับฟังข้อกังวล ข้อเสนอแนะและปัญหาสิ่งที่ทางภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลได้สนับสนุน หรือแก้ไข  พร้อมรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด เมื่อเวลาเข้าไปทำงานแล้วจะได้ดำเนินการให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว 


การมาพบในวันนี้ถือเป็นตัวแทนผู้ประกอบการในแต่ละภาคส่วน มีข้อเสนอแนะ และต้องการให้รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อทำให้เกิดความคล่องตัวในการประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเงิน หนี้สิน ดอกเบี้ย พลังงาน การขนส่ง แรงงานและโอกาสต่างๆ ในการส่งเสริมประเทศไทยในอนาคต และได้มีการหารือกันลงในรายละเอียดมากพอสมควร หลังจากนี้หารือลงในรายละเอียดประเด็นสำคัญให้มากที่สุด และในภาพรวมก็จะหาโอกาสมาหารือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

          

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่ามาตรการสร้างความเชื่อมั่น สนับสนุนผู้ประกอบการ ก็คือ การรับฟังปัญหาต่างๆ ทั้งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การสนับสนุนผู้ประกอบการ ด้านแรงงาน สินค้า ภาษี ภาคขนส่ง ก็พยามที่จะทะลายข้อจำกัดที่มีอยู่ในสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือเป็นการปิดกั้นโอกาส ส่วนในรายละเอียดว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ จะนำสิ่งเหล่านี้ไปหาแนวทางทำให้คล่องตัวขึ้นและแก้ไขปัญหาที่ยังค้างคาอยู่


สำหรับมาตรการเร่งด่วนที่ทางหอการค้าไทยเสนอ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย เสริมว่า ได้มีการเห็นด้วยตามนโยบาย 4 ข้อรัฐบาล ส่วนข้อเสนอของสภาฯมองว่าเศรษฐกิจตอนนี้ ภาคการท่องเที่ยว ส่งออก และสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเจริญเติบโตของประเทศ ก็ได้มีการเสนอไปแล้ว และเชื่อมั่นว่าข้อแถลงด้านเศรษฐกิจของนโยบายจะสามารถขับเคลื่อนได้แน่นอน

          

ส่วนการมอบหมายงานให้กับว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ให้ทำทุกอย่างให้การค้าคล่องตัว ราบรื่น ไม่เสียเปรียบผู้ค้าและเจรจาสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทำให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยมากที่สุดทาง ทั้งราคาพืชผลทางการ เกษตร เพราะคำว่าพาณิชย์ไม่ใช่เฉพาะค้าขายกับต่างประเทศ การค้าขายในประเทศก็ต้องทำให้มีการคล่องตัวสูงสุด ลดความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ ซึ่งต้องทำควบคู่กันไปทั้งพาณิชย์และคลังและการจัดหาแหล่งเงินเข้ามาอัดฉีดเพื่อที่จะทำให้มี Cash Flow(กระแสเงินสด) ไปดำเนินการต่อ ซึ่งผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อย ทั้ง SME ทั้งหลายบางครั้งไปต่อไม่ได้ เพราะยังติด MPL ทำให้สินค้าค้างสต๊อกก็เยอะ การผลิตเดินไม่ได้ เพราะ ไม่มีเงินซื้อส่วนประกอบอื่นเข้ามา ดังนั้นจะต้องมาคลายคอขวด ซึ่งจะต้องมีการเลือกดูด้วยว่าเป็นลูกค้าชั้นดีหรือมีความตั้งใจที่จะผลิตสินค้า ไม่ใช่เอาเงินมาหมุนให้ผ่านไปวันๆ จะต้องเป็นลูกค้าที่สามารถที่จะนำเงินทุนเหล่านี้ไปต่อยอดและทำให้ค้าขายต่อไปได้


เมื่อถามว่า ช่วงระยะเวลาในการบริหารประเทศ คนไทยจะได้เห็นเศรษฐกิจเดินไปในทิศทางใด นายอนุทินกล่าวว่า คงไม่ถอยหลัง เพราะมีเวลาไม่นาน แต่ก็ต้องจดไว้ถือเป็นสัญญา ที่เซ็นไว้ก็คือ 4 เดือนยุบสภา หลังจากการแถลงนโยบาย ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อทางคณะรัฐมนตรีได้ถวายสัตย์ฯแล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้ก็เตรียมตัวร่างนโยบายที่รัฐบาลจะแถลงต่อรัฐสภาไว้เป็นที่เรียบร้อย แล้วมีปรับแก้นิดหน่อย เมื่อมาพบกับทางสภาหอการค้าก็มีบางจุดที่คิดว่าจะต้องการปรับแก้ร่างนโยบายที่ทำไว้เกือบเสร็จแล้วเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่ได้หารือกัน และมีความเห็นตรงกัน ดังนั้นวันนี้เมื่อเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือเป็นกระบวนการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ และก็รอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มตัว ซึ่งในร่างนโยบายมีรายละเอียดทุกมติ

          

นายอนุทินยังกล่าวด้วยว่า ในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจะพยายามอย่างเต็มที่ ยืนยันว่าตนเองใจกว้างจะไม่คิดหรอกว่าผลักดันนโยบายที่ออกไป จะทำให้นโยบายที่ไม่ได้คิดเอง อาจจะเป็นนโยบายของพรรคอื่น กลุ่มอื่น คนอื่น แต่ส่วนตัวคิดอย่างเดียวว่า ถ้าเกิดประโยชน์กับประเทศ ส่วนตัวผมทำหมด เพราะเวลามีอยู่แค่นี้ มัวแต่คิดว่าจะไปกลัวใครดีเด่นดัง ได้เครดิต ถ้าทุกคนได้เครดิต ไปได้เลย ถ้าสำเร็จคนที่คิดทำ โครงการนั้น ก็ได้กับตัวผมในฐานะผู้ผลักดัน ก็ได้วินวินทั้งคู่ 


สิ่งที่ดีที่สุดทุกคนต้องวิน วิน ไม่ใช่คนหนึ่งชนะหรือคนหนึ่งแพ้ ไม่เช่นนั้นก็นำไปสู่ความขัดแย้ง การดึงซึ่งกันและกัน แต่ถ้าคิดว่าวินวินทั้งคู่ ไม่สนใจใครได้เครดิต แต่ประชาชน ประเทศได้ ผมบอกได้คำเดียวว่า ผมจะไปหมด “มีรู มีหนู”



สรุปข่าว

นายกฯอนุทิน พร้อม "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" เดินหน้าลุยงาน หารือสภาหอการค้าฯ เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นใน 4 เดือน

นายกฯอนุทิน พร้อม "ดรีมทีมเศรษฐกิจ" เดินหน้าลุยงาน หารือสภาหอการค้าฯ เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นใน 4 เดือน  


นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการเข้าหารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในวันนี้(18 กันยายน 2568) ระบุว่า ตนเองและทีมงานพยายามที่จะไปพบภาคเอกชนในช่วงก่อนที่จะเข้าไปทำการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมารับฟังข้อกังวล ข้อเสนอแนะและปัญหาสิ่งที่ทางภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลได้สนับสนุน หรือแก้ไข  พร้อมรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด เมื่อเวลาเข้าไปทำงานแล้วจะได้ดำเนินการให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว 


การมาพบในวันนี้ถือเป็นตัวแทนผู้ประกอบการในแต่ละภาคส่วน มีข้อเสนอแนะ และต้องการให้รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อทำให้เกิดความคล่องตัวในการประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเงิน หนี้สิน ดอกเบี้ย พลังงาน การขนส่ง แรงงานและโอกาสต่างๆ ในการส่งเสริมประเทศไทยในอนาคต และได้มีการหารือกันลงในรายละเอียดมากพอสมควร หลังจากนี้หารือลงในรายละเอียดประเด็นสำคัญให้มากที่สุด และในภาพรวมก็จะหาโอกาสมาหารือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

          

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่ามาตรการสร้างความเชื่อมั่น สนับสนุนผู้ประกอบการ ก็คือ การรับฟังปัญหาต่างๆ ทั้งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การสนับสนุนผู้ประกอบการ ด้านแรงงาน สินค้า ภาษี ภาคขนส่ง ก็พยามที่จะทะลายข้อจำกัดที่มีอยู่ในสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือเป็นการปิดกั้นโอกาส ส่วนในรายละเอียดว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ จะนำสิ่งเหล่านี้ไปหาแนวทางทำให้คล่องตัวขึ้นและแก้ไขปัญหาที่ยังค้างคาอยู่


สำหรับมาตรการเร่งด่วนที่ทางหอการค้าไทยเสนอ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย เสริมว่า ได้มีการเห็นด้วยตามนโยบาย 4 ข้อรัฐบาล ส่วนข้อเสนอของสภาฯมองว่าเศรษฐกิจตอนนี้ ภาคการท่องเที่ยว ส่งออก และสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการเจริญเติบโตของประเทศ ก็ได้มีการเสนอไปแล้ว และเชื่อมั่นว่าข้อแถลงด้านเศรษฐกิจของนโยบายจะสามารถขับเคลื่อนได้แน่นอน

          

ส่วนการมอบหมายงานให้กับว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ให้ทำทุกอย่างให้การค้าคล่องตัว ราบรื่น ไม่เสียเปรียบผู้ค้าและเจรจาสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทำให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยมากที่สุดทาง ทั้งราคาพืชผลทางการ เกษตร เพราะคำว่าพาณิชย์ไม่ใช่เฉพาะค้าขายกับต่างประเทศ การค้าขายในประเทศก็ต้องทำให้มีการคล่องตัวสูงสุด ลดความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ ซึ่งต้องทำควบคู่กันไปทั้งพาณิชย์และคลังและการจัดหาแหล่งเงินเข้ามาอัดฉีดเพื่อที่จะทำให้มี Cash Flow(กระแสเงินสด) ไปดำเนินการต่อ ซึ่งผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อย ทั้ง SME ทั้งหลายบางครั้งไปต่อไม่ได้ เพราะยังติด MPL ทำให้สินค้าค้างสต๊อกก็เยอะ การผลิตเดินไม่ได้ เพราะ ไม่มีเงินซื้อส่วนประกอบอื่นเข้ามา ดังนั้นจะต้องมาคลายคอขวด ซึ่งจะต้องมีการเลือกดูด้วยว่าเป็นลูกค้าชั้นดีหรือมีความตั้งใจที่จะผลิตสินค้า ไม่ใช่เอาเงินมาหมุนให้ผ่านไปวันๆ จะต้องเป็นลูกค้าที่สามารถที่จะนำเงินทุนเหล่านี้ไปต่อยอดและทำให้ค้าขายต่อไปได้


เมื่อถามว่า ช่วงระยะเวลาในการบริหารประเทศ คนไทยจะได้เห็นเศรษฐกิจเดินไปในทิศทางใด นายอนุทินกล่าวว่า คงไม่ถอยหลัง เพราะมีเวลาไม่นาน แต่ก็ต้องจดไว้ถือเป็นสัญญา ที่เซ็นไว้ก็คือ 4 เดือนยุบสภา หลังจากการแถลงนโยบาย ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อทางคณะรัฐมนตรีได้ถวายสัตย์ฯแล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้ก็เตรียมตัวร่างนโยบายที่รัฐบาลจะแถลงต่อรัฐสภาไว้เป็นที่เรียบร้อย แล้วมีปรับแก้นิดหน่อย เมื่อมาพบกับทางสภาหอการค้าก็มีบางจุดที่คิดว่าจะต้องการปรับแก้ร่างนโยบายที่ทำไว้เกือบเสร็จแล้วเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่ได้หารือกัน และมีความเห็นตรงกัน ดังนั้นวันนี้เมื่อเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือเป็นกระบวนการตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ และก็รอให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและเข้าไปบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มตัว ซึ่งในร่างนโยบายมีรายละเอียดทุกมติ

          

นายอนุทินยังกล่าวด้วยว่า ในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจะพยายามอย่างเต็มที่ ยืนยันว่าตนเองใจกว้างจะไม่คิดหรอกว่าผลักดันนโยบายที่ออกไป จะทำให้นโยบายที่ไม่ได้คิดเอง อาจจะเป็นนโยบายของพรรคอื่น กลุ่มอื่น คนอื่น แต่ส่วนตัวคิดอย่างเดียวว่า ถ้าเกิดประโยชน์กับประเทศ ส่วนตัวผมทำหมด เพราะเวลามีอยู่แค่นี้ มัวแต่คิดว่าจะไปกลัวใครดีเด่นดัง ได้เครดิต ถ้าทุกคนได้เครดิต ไปได้เลย ถ้าสำเร็จคนที่คิดทำ โครงการนั้น ก็ได้กับตัวผมในฐานะผู้ผลักดัน ก็ได้วินวินทั้งคู่ 


สิ่งที่ดีที่สุดทุกคนต้องวิน วิน ไม่ใช่คนหนึ่งชนะหรือคนหนึ่งแพ้ ไม่เช่นนั้นก็นำไปสู่ความขัดแย้ง การดึงซึ่งกันและกัน แต่ถ้าคิดว่าวินวินทั้งคู่ ไม่สนใจใครได้เครดิต แต่ประชาชน ประเทศได้ ผมบอกได้คำเดียวว่า ผมจะไปหมด “มีรู มีหนู”



หอการค้า ยื่น 7 ข้อเสนอด่วน ถึงนายกฯ หวังฟื้นฟูเสาหลักเศรษฐกิจไทย

พร้อมแนะ 4 เดือน เร่งคุยสหรัฐฯให้ชัด


นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้ต้อนรับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และคณะ ในโอกาสเข้าพบหารือแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยระยะเร่งด่วน โดยปัจจุบันภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ราคาสินค้าเกษตรและการส่งออกที่ปรับตัวลดลง ต้นทุนพลังงานและค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนด้านการเมืองระหว่างประเทศ หอการค้าไทยจึงได้ระดมข้อคิดเห็นจากเครือข่ายหอการค้าทั่วประเทศ ทั้งหอการค้าจังหวัด สมาคมการค้า หอการค้าต่างประเทศ และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ จัดทำเป็นข้อเสนอ 7 เสาหลักฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย เพื่อให้รัฐบาลนำไปพิจารณาใช้เป็นมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม


นายพจน์ กล่าวว่า รายละเอียด 7 ข้อหลัก ได้แก่ 

1. Rebuild Confidence Plan 

เสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศและนักลงทุน ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความปลอดภัย 

2. Liquidity for SMEs & Households 

เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ให้ผู้ประกอบการและครัวเรือนเข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวก 

3. Ease Cost of Living 

ลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนของประชาชน 

4. Seamless Trade 

ค้าขายคล่อง ส่งเสริมการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ ค้าขายเป็นธรรม (Fair Trade) สร้างความสามารถแข่งขันให้ SMEs 

5. Safety & Security of Thailand 

ยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยทั้งอาชญากรรม ยาเสพติด และสังคมออนไลน์ 

6. Trade War Response 

เตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากสงครามการค้าโลกและความผันผวนค่าเงิน 

7. Boost Demand & Tourism 

กระตุ้นกำลังซื้อและส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ

          

นายพจน์ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอในระยะเร่งด่วน 4 เดือน หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินมาตรการสำคัญหลายด้านอย่างทันที เริ่มจากการค้าระหว่างประเทศ ที่ควรเร่งรัดการเจรจากับสหรัฐภายใต้กรอบ Reciprocal Tariff (RT) ควบคู่กับการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี และการขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ อาทิ จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ราว 34-35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านการส่งออก 


ส่วนในมิติของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ประชาชนคุ้นเคย อาทิ คนละครึ่ง, Easy E-Receipt รวมถึงรณรงค์ใช้ของไทย ฟื้นเอสเอ็มอี พร้อมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 เพื่อช่วยเพิ่มการจ้างงาน ส่วนภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลควรตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ และยกระดับมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะในตลาดนักท่องเที่ยวจีน ควบคู่กับการลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์หมวดไลฟ์สไตล์ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่

          


นายพจน์ กล่าวว่า มาตรการสำหรับภาคธุรกิจเอสเอ็มอี ขอให้มีการจัดสรรงบประมาณจำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเสียหายจากหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) และเร่งผลักดันโครงการ THAI SME-GP ด้านแรงงาน รัฐบาลควรกำหนดการปรับค่าจ้างตามมาตรา 87 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน โดยใช้กลไกไตรภาคี รวมถึงหาทางออกต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ประชาชนควรได้รับการบรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านมาตรการลดดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี และการปรับลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% เป็นเวลา 1 ปี และควรเดินหน้านโยบาย Zero Corruption และบูรณาการการปราบปรามปัญหาสังคม ทั้งยาเสพติด การค้ามนุษย์ กลโกงออนไลน์ และการพนันอย่างจริงจัง

          

นายพจน์ กล่าวว่า ส่วนมาตรการในระยะกลาง 8 เดือน หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรขาออกภายใน 7-14 วัน เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ส่งออก พร้อมกันนี้ ภาครัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา จัดตั้งกลไกการพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยเน้นสาขาที่มีศักยภาพสูง เช่น เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ยานยนต์สมัยใหม่ และเกษตร-อาหารสมัยใหม่ อีกทั้งยังควรมีมาตรการสนับสนุนผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและคูปองฝึกอบรม 


ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยใช้แนวทางปรับโครงสร้างหนี้และขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ถูกกฎหมาย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบควรถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ด้วยการใช้มาตรการ Regulatory Guillotine เพื่อลดความซ้ำซ้อน ลดภาระที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ภาคธุรกิจดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


นายพจน์ กล่าวว่า "ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่เพียงมาตรการเฉพาะหน้า แต่คือ แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ที่จะสร้างความหวังและความเชื่อมั่น หากรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง หอการค้า เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาแข็งแรง และพร้อมสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศและสังคมไทยได้