
"อาเซียน-จีน" ลงนามข้อตกลง FTA ยกระดับการค้า ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว รับมือผลกระทบ "ภาษีทรัมป์"
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และจีน ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ฉบับปรับปรุงในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ซึ่งครอบคลุมถึงภาคส่วนเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน โดยการลงนามดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเผชิญผลกระทบจากถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงจากสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯ
ข้อตกลงฉบับที่ 3 ที่ทำขึ้นระหว่างอาเซียนและจีน ซึ่งต่างก็เป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของกันและกันนั้น ลงนามโดยซาฟรูล อับดุล อาซิซ รัฐมนตรีการค้ามาเลเซีย ในฐานะตัวแทนของอาเซียน และหวัง เหวินเทา รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีน ก่อนที่ชาติสมาชิกอาเซียนและจีนจะเริ่มการประชุมสุดยอดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ในระหว่างการกล่าวเปิดประชุมเพื่อลงนามข้อตกลง FTA ครั้งนี้ หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งเป็นสักขีพยานในการลงนามร่วมกับอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า
“ปัจจัยภายนอกกำลังเข้ามาแทรกแซงในภูมิภาค และหลายประเทศต้องเผชิญกับภาษีที่สูงอย่างไร้เหตุผล” หลี่กล่าวโดยไม่ได้เอ่ยชื่อสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวมระหว่างอาเซียนและจีนในปี 2567 มีมูลค่า 7.7094 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10.61% จากปีก่อนหน้า
ประเทศสมาชิกอาเซียนได้รับผลกระทบจากปรับขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อต้นเดือนนี้ หลังจากที่จีนประกาศมาตรการจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก ซึ่งสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง
สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนประกอบไปด้วย บรูไน กัมพูชา ติมอร์-เลสเต อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
สรุปข่าว
"อาเซียน-จีน" ลงนามข้อตกลง FTA ยกระดับการค้า ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว รับมือผลกระทบ "ภาษีทรัมป์"
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และจีน ได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ฉบับปรับปรุงในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ซึ่งครอบคลุมถึงภาคส่วนเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน โดยการลงนามดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศในกลุ่มอาเซียนเผชิญผลกระทบจากถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงจากสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯ
ข้อตกลงฉบับที่ 3 ที่ทำขึ้นระหว่างอาเซียนและจีน ซึ่งต่างก็เป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของกันและกันนั้น ลงนามโดยซาฟรูล อับดุล อาซิซ รัฐมนตรีการค้ามาเลเซีย ในฐานะตัวแทนของอาเซียน และหวัง เหวินเทา รัฐมนตรีพาณิชย์ของจีน ก่อนที่ชาติสมาชิกอาเซียนและจีนจะเริ่มการประชุมสุดยอดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ในระหว่างการกล่าวเปิดประชุมเพื่อลงนามข้อตกลง FTA ครั้งนี้ หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งเป็นสักขีพยานในการลงนามร่วมกับอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า
“ปัจจัยภายนอกกำลังเข้ามาแทรกแซงในภูมิภาค และหลายประเทศต้องเผชิญกับภาษีที่สูงอย่างไร้เหตุผล” หลี่กล่าวโดยไม่ได้เอ่ยชื่อสหรัฐฯ
มูลค่าการค้ารวมระหว่างอาเซียนและจีนในปี 2567 มีมูลค่า 7.7094 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10.61% จากปีก่อนหน้า
ประเทศสมาชิกอาเซียนได้รับผลกระทบจากปรับขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อต้นเดือนนี้ หลังจากที่จีนประกาศมาตรการจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายาก ซึ่งสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง
สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนประกอบไปด้วย บรูไน กัมพูชา ติมอร์-เลสเต อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
“ศุภจี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมรัฐมนตรีการค้าอาเซียน – จีน ร่วมลงนาม ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน หรือ “ACFTA 3.0” ยกระดับการค้าในภูมิภาค และเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าร่วม การประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ครั้งที่ 28 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยก่อนการประชุมดังกล่าว นางศุภจี พร้อมด้วยรัฐมนตรีการค้าของอาเซียนและจีน ได้ร่วมลงนามพิธีสารเพื่อยกระดับเพิ่มเติมกรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้านระหว่างสมาชิกอาเซียนกับจีน ซึ่งเป็นพิธีสารเพื่อยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน หรือ“ACFTA 3.0” ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมธุรกิจในปัจจุบัน และถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าไทยและจีนด้วย
การลงนามพิธีสาร ACFTA 3.0 ถือเป็นหนึ่งในความสําเร็จระหว่างอาเซียนและจีน โดยเฉพาะไทยในฐานะที่เป็นประธานฝ่ายอาเซียนซึ่งได้ผลักดันการเจรจาดังกล่าวจนได้ข้อสรุป โดยความตกลง ACFTA ถือเป็น FTA ที่อาเซียนมีการใช้สิทธิประโยชน์มากที่สุด รวมทั้งเป็น FTA ที่ช่วยขยายมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับจีนจนทําให้จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยมาตลอด 12 ปีที่ผ่านมา
นางศุภจี กล่าวว่า สาระสําคัญของความตกลง ACFTA 3.0 มุ่งเน้นการปรับปรุงเนื้อหาความตกลงเดิม ให้มีความทันสมัย โปร่งใส และอํานวยความสะดวกทางการค้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องพิธีการทางศุลกากร มาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐานเกษตร และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ
นอกจากนี้ ความตกลงฯ ยังได้เพิ่มสาขาความร่วมมือใหม่ที่ตอบโจทย์กับการค้ายุคใหม่ ได้แก่ เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว ความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน การแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภค
รวมถึงการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ซึ่งประเด็นใหม่ดังกล่าว จะมีส่วนสําคัญในการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยและอาเซียน ที่ต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ซึ่งเนื้อหาของความตกลงดังกล่าวก็ได้ปูทางให้เกิดความร่วมมือในหลายด้านระหว่างอาเซียนกับจีน เช่น การใช้ระบบดิจิทัลในการพัฒนากระบวนการทางศุลกากร การพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนตํ่า ตลอดจนการคุ้มครองผู้บริโภคออนไลน์
นางศุภจี กล่าวว่า หลังจากที่อาเซียนและจีนได้ลงนามพิธีสาร ACFTA 3.0 ทุกประเทศจะต้องดําเนิน กระบวนการภายในที่เกี่ยวข้อง และแจ้งความพร้อมสําหรับการบังคับใช้ต่อสํานักเลขาธิการอาเซียน โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ตนได้มอบหมายกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศดําเนินการเผยแพร่เนื้อหาพิธีสารดังกล่าว
พร้อมทั้งจัดสัมมนาประชาพิจารณ์เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้ศึกษาทําความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมสําหรับการใช้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าว ก่อนที่กระทรวงพาณิชย์จะดําเนินการเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
ทั้งนี้ การค้าระหว่างอาเซียนกับจีนในปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน ) มีมูลค่า 429,806.05 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18.65 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นการส่งออก 145,144.94 ล้านดอลลาร์ และเป็นการนําเข้า 284,661.11 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่การค้าระหว่างไทยกับจีนปี 2568 (มกราคม-กันยายน) มีมูลค่า 108,639.31 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 28.08 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นการส่งออก 30,667.72 ล้านดอลลาร์และเป็น การนําเข้า 77,971.59 ล้านดอลลาร์
โดยสินค้าส่งออกสําคัญของไทยไปจีน เช่น ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง ยางพารา เป็นต้น ขณะที่สินค้านําเข้าสําคัญจากจีน เช่น เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
- จีนเคลื่อนจรวด “Long March-2F” เตรียมส่งลูกเรือชุดใหม่ภารกิจ “Shenzhou-21”
- จีนเปิดตัว “เรือขนส่งสินค้าทางแม่น้ำใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน” ลำใหญ่ที่สุดในโลก
- จีนพร้อมช่วยเหลือสหรัฐฯ หลังอากาศยานกองทัพสหรัฐฯ 2 ลำตกทะเลจีนใต้
- สถานทูตจีนจัดงานเสวนารำลึกวาระครบรอบ 80 ปี การกอบกู้ไต้หวัน
- "พีช พชร" มองบวกโอกาสในวิกฤต เศรษฐกิจไม่ดี? แต่ SMEs คือ ผู้อยู่รอด
ที่มาข้อมูล : Reuters กระทรวงพาณิชย์
ที่มารูปภาพ : TNN กระทรวงพาณิชย์
