“เหล้าสาเกญี่ปุ่น” ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมยูเนสโก

องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศให้ “เหล้าสาเกญี่ปุ่น” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567 ร่วมกับอาหารและสินค้าจากประเทศอื่น ๆ เช่น “ต้มยำกุ้ง” ของไทย ชีสขาวบราซิล ขนมปังจากมันสำปะหลังของแคริบเบียน และ สบู่มะกอกจากปาเลสไตน์

คาโน ทาเคฮิโระ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำยูเนสโก นี่เป็นข่าวดีที่มีความหมายมากสำหรับญี่ปุ่นและชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตสาเก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความสนใจในการผลิตสาเกแบบดั้งเดิม ทั้งในญี่ปุ่นและนอกญี่ปุ่นต่อไป เช่นเดียวกับบรรดาผู้ผลิตสาเกในญี่ปุ่น ที่ต่างยินดีกับข่าวนี้ เนื่องจากหวังว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น และทำให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจบริโภคเครื่องดื่มที่เป็นภูมิปัญญาตกทอดกันมาหลายร้อยปีกันมากขึ้น

เหล้าสาเก: ภูมิปัญญาที่ตกทอดหลายร้อยปี

เหล้าสาเกญี่ปุ่นผลิตจากข้าวและยีสต์หมักกับน้ำ ผ่านกระบวนการคล้ายการผลิตเบียร์ที่ใช้มอลต์ ให้รสชาติเปรี้ยวหวาน นิยมดื่มคู่กับอาหารเพื่อเพิ่มอรรถรสหรือใช้ในการเฉลิมฉลอง สาเกยังเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ โดยมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 265 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี โดยประเทศปลายทางหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกาและจีน

สำหรับ “ต้มยำกุ้ง” ที่ได้รับการรับรองเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ในปีเดียวกันนั้น ได้สร้างความยินดีให้กับคนไทยและผู้ประกอบการร้านอาหารทั่วประเทศ โดยเฉพาะที่ จ.ชัยนาท ซึ่งเกิดกระแส “ต้มยำกุ้งฟีเวอร์” พ่อค้าอาหารสดในพื้นที่เปิดเผยว่า ยอดขายกุ้งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว เนื่องจากมีลูกค้าจำนวนมากออกมาซื้อกุ้งเพื่อทำเมนูระดับโลก

อย่างไรก็ตาม แม้ความต้องการกุ้งจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ผู้ค้าระบุว่า ราคากุ้งในช่วงนี้ไม่น่าขยับมาก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ แต่การจับกุ้งลดลงในช่วงหน้าหนาวอาจเป็นปัจจัยให้ราคาขยับเล็กน้อยในอนาคต

“เหล้าสาเกญี่ปุ่น -  ต้มยำกุ้ง” มรดกอาหาร: ตัวแทนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ

ทั้งเหล้าสาเกและต้มยำกุ้งสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน และยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในท้องถิ่นและการส่งออก นับเป็นความสำเร็จที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับทั้งญี่ปุ่นและไทยบนเวทีโลก.

ภาพจาก: AFP