ทำไมเป็น "อลาสกา" ? ที่นัดเจอระหว่างทรัมป์และปูติน เปิดเหตุผลที่อาจอยู่เบื้องหลัง

ทำไมเป็น "อลาสกา" ? ที่นัดเจอระหว่างทรัมป์และปูติน เปิดเหตุผลที่อาจอยู่เบื้องหลัง

ทุกสายตาต่างจับจ้องที่รัฐอลาสกา เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า เขาจะพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ในวันศุกร์หน้าที่ 15 สิงหาคม ที่ "รัฐอลาสกา" ของสหรัฐฯ เพื่อเจรจาที่หวังว่าจะนำไปสู่การยุติสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อตั้งแต่ปี 2022 การพบกันในครั้งนี้นับเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ที่ผู้นำสหรัฐฯ และ รัสเซีย 2 มหาอำนาจที่เปรียบเหมือนเส้นขนานจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งในดินแดนสหรัฐฯ ในรอบ 10 ปี ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่ผู้นำรัสเซียเยือนสหรัฐฯ ในปี 2015

 

ก่อนหน้าการประกาศของทรัมป์ว่าเขาและปูตินจะพบกันที่รัฐอลาสกาของสหรัฐฯ ทำเนียบประธานาธิบดีเครมลินได้เปิดเผยถึงความเป็นไปได้ว่าการพบกันของทั้ง 2 ผู้นำอาจเกิดขึ้นที่ “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” (UAE) ซึ่งปูตินกล่าวว่ารัสเซียมีพันธิมตรมากมายที่ยินดีจะช่วยจัดการประชุมนี้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็เป็นสถานที่ที่ “เหมาะสม” ที่จะพบกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งคำกล่าวของปูตินเกิดขึ้นในระหว่างที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เดินทางเยือนกรุงมอสโกพอดี 


แต่สุดท้ายกลายเป็น รัฐอลาสกา” ทำไมทรัมป์ถึงเลือกรัฐนี้ มีเหตุผลบางอย่างอยู่เบื้องหลังหรือไม่  ?


รัฐอลาสกา เป็นรัฐที่อยู่ทางเหนือสุดของสหรัฐฯ และเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศด้วยขนาดพื้นที่รวมกว่า 1,723,337 ตารางกิโลเมตร ถ้าคิดเป็นระยะทางพื้นที่แผ่นดินใหญ่ของรัฐอลาสกาตั้งอยู่ห่างจากรัสเซียเพียง 88 กิโลเมตร และสามารถเดินทางข้ามช่องแคบแบริงเพื่อเข้าสู่รัฐอลาสกาได้ แต่หากนับเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ในอาณาเขตของรัฐอลาสกาก็มีบางเกาะที่อยู่ใกล้รัสเซียมากขึ้นไปอีก 


สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า อลาสกาเป็นพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกับทั้งสหรัฐฯ และรัสเซีย โดยย้อนกลับไปสมัยประธานาธิบดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ของสหรัฐฯ ได้ลงนามในประกาศอย่างเป็นทางการรับรองให้อลาสกาเป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐฯ ในปี 1959 หลังจากที่อะแลสกาเคยอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซียในฐานะอาณานิคม รอยเตอร์สรายงานด้วยว่า ในปี 1867 สหรัฐฯ จ่ายเงินให้รัสเซีย 7.2 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 230 ล้านบาท เพื่อซื้อดินแดนอลาสกา ขณะที่ ทำเนียบประธานาธิบดีเครมลินของรัสเซียกล่าวว่าอลาสกาเป็นตัวเลือกที่ “สมเหตุสมผล” ในการให้ผู้นำทั้ง 2 จะได้มาเจอกัน ทางการรัสเซียยังกล่าวด้วยว่ารัสเซียและสหรัฐฯ เป็นเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันและคณะผู้แทนของพวกเขาก็เพียงแค่บินข้ามช่องแคบแบริ่งเพื่อไปสู่ดินแดนของรัฐอลาสกา


นอกจากนี้ กรณีหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ต่อประธานาธิบดีปูติน กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องจับกุมผู้นำรัสเซียหากเขาเดินทางไปเยือนประเทศของตน ถูกมองว่าทำให้จำนวนสถานที่จัดการเจรจาที่เป็นไปได้นั้นแคบลง แต่สหรัฐฯ ไม่ใช่ประเทศสมาชิก ICC และไม่ยอมรับอำนาจของศาลดังกล่าว ซึ่งนอกเหนือจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ปูตินเคยเอ่ยถึง สื่อยังเคยคาดการณ์ว่าตุรกี จีน หรืออินเดีย ก็อาจเป็นสถานที่จัดการเจรจาได้เช่นกัน 

สรุปข่าว

รัฐอลาสกา กำลังจะกลายเป็นพยานในวันแห่งประวัติศาสตร์ เมื่อ “ทรัมป์” เลือกรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศเป็น สถานที่นัดพบปะระหว่างเขาและ “ปูติน” ในสัปดาห์หน้า นับเป็นการพบกันครั้งแรกของทรัมป์และปูตินตั้งแต่เขากลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังที่ทรัมป์เลือกรัฐอลาสกา ?

ทุกสายตาต่างจับจ้องที่รัฐอลาสกา เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า เขาจะพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ในวันศุกร์หน้าที่ 15 สิงหาคม ที่ "รัฐอลาสกา" ของสหรัฐฯ เพื่อเจรจาที่หวังว่าจะนำไปสู่การยุติสงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อตั้งแต่ปี 2022 การพบกันในครั้งนี้นับเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ที่ผู้นำสหรัฐฯ และ รัสเซีย 2 มหาอำนาจที่เปรียบเหมือนเส้นขนานจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งในดินแดนสหรัฐฯ ในรอบ 10 ปี ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่ผู้นำรัสเซียเยือนสหรัฐฯ ในปี 2015

 

ก่อนหน้าการประกาศของทรัมป์ว่าเขาและปูตินจะพบกันที่รัฐอลาสกาของสหรัฐฯ ทำเนียบประธานาธิบดีเครมลินได้เปิดเผยถึงความเป็นไปได้ว่าการพบกันของทั้ง 2 ผู้นำอาจเกิดขึ้นที่ “สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” (UAE) ซึ่งปูตินกล่าวว่ารัสเซียมีพันธิมตรมากมายที่ยินดีจะช่วยจัดการประชุมนี้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็เป็นสถานที่ที่ “เหมาะสม” ที่จะพบกับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งคำกล่าวของปูตินเกิดขึ้นในระหว่างที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เดินทางเยือนกรุงมอสโกพอดี 


แต่สุดท้ายกลายเป็น รัฐอลาสกา” ทำไมทรัมป์ถึงเลือกรัฐนี้ มีเหตุผลบางอย่างอยู่เบื้องหลังหรือไม่  ?


รัฐอลาสกา เป็นรัฐที่อยู่ทางเหนือสุดของสหรัฐฯ และเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศด้วยขนาดพื้นที่รวมกว่า 1,723,337 ตารางกิโลเมตร ถ้าคิดเป็นระยะทางพื้นที่แผ่นดินใหญ่ของรัฐอลาสกาตั้งอยู่ห่างจากรัสเซียเพียง 88 กิโลเมตร และสามารถเดินทางข้ามช่องแคบแบริงเพื่อเข้าสู่รัฐอลาสกาได้ แต่หากนับเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ในอาณาเขตของรัฐอลาสกาก็มีบางเกาะที่อยู่ใกล้รัสเซียมากขึ้นไปอีก 


สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า อลาสกาเป็นพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงกับทั้งสหรัฐฯ และรัสเซีย โดยย้อนกลับไปสมัยประธานาธิบดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ของสหรัฐฯ ได้ลงนามในประกาศอย่างเป็นทางการรับรองให้อลาสกาเป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐฯ ในปี 1959 หลังจากที่อะแลสกาเคยอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซียในฐานะอาณานิคม รอยเตอร์สรายงานด้วยว่า ในปี 1867 สหรัฐฯ จ่ายเงินให้รัสเซีย 7.2 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 230 ล้านบาท เพื่อซื้อดินแดนอลาสกา ขณะที่ ทำเนียบประธานาธิบดีเครมลินของรัสเซียกล่าวว่าอลาสกาเป็นตัวเลือกที่ “สมเหตุสมผล” ในการให้ผู้นำทั้ง 2 จะได้มาเจอกัน ทางการรัสเซียยังกล่าวด้วยว่ารัสเซียและสหรัฐฯ เป็นเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันและคณะผู้แทนของพวกเขาก็เพียงแค่บินข้ามช่องแคบแบริ่งเพื่อไปสู่ดินแดนของรัฐอลาสกา


นอกจากนี้ กรณีหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ต่อประธานาธิบดีปูติน กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องจับกุมผู้นำรัสเซียหากเขาเดินทางไปเยือนประเทศของตน ถูกมองว่าทำให้จำนวนสถานที่จัดการเจรจาที่เป็นไปได้นั้นแคบลง แต่สหรัฐฯ ไม่ใช่ประเทศสมาชิก ICC และไม่ยอมรับอำนาจของศาลดังกล่าว ซึ่งนอกเหนือจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ปูตินเคยเอ่ยถึง สื่อยังเคยคาดการณ์ว่าตุรกี จีน หรืออินเดีย ก็อาจเป็นสถานที่จัดการเจรจาได้เช่นกัน 

สำหรับรายละเอียดอื่น ๆ มีรายงานว่าในการเจรจาระหว่างปูตินและทรัมป์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ปูตินได้เตรียมข้อเสนอการแลกเปลี่ยนดินแดนบางส่วนมาถกในการหารือด้วย โดยหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่าประธานาธิบดีรัสเซียต้องการให้กองกำลังยูเครนถอนตัวออกจากภูมิภาคโดเนสก์และลูฮันสก์โดยสมบูรณ์ซึ่งเป็นสองภูมิภาคทางตะวันออกของยูเครนที่รัสเซียควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่แล้ว


ขณะที่ ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเมื่อวานนี้ (8 สิงหาคม) ว่าข้อตกลงหยุดยิงระหว่างยูเครนและรัสเซียจะรวมถึงการแลกเปลี่ยนดินแดนระหว่างสองประเทศ โดยเขากล่าวว่า “จะมีการแลกเปลี่ยนดินแดนบางส่วน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์” ซึ่งนับตั้งแต่รัสเซียเปิดการโจมตียูเครนอย่างเต็มรูปแบบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ยูเครนได้ปฏิเสธรวมถึงย้ำจุดยืนเดิมเสมอที่จะ “ไม่ยกดินแดน” ใด ๆ เพื่อแลกกับการหยุดยิง ซึ่งในการประชุมระหว่างทรัมป์และปูตินที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ก็ยังคงไม่ชัดเจนว่าประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครนจะเข้าร่วมการประชุมที่รัฐอลาสกา หรือ จัดเป็นการประชุมแยกเพื่อหารือกับฝั่งสหรัฐฯ ด้วยหรือไม่ 

ที่มาข้อมูล : Reuters / Al-Jazeera / DW

ที่มารูปภาพ : Reuters