ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา แค่อยู่รอดจากโลกร้อน ก็ยากเกินไปสำหรับนก

ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา แค่อยู่รอดจากโลกร้อน  ก็ยากเกินไปสำหรับนก


แม้นกจะดูเป็นสัตว์ที่ได้เปรียบในการหนีภัยโลกร้อนด้วยความสามารถในการบินขึ้นที่สูงหรือบินสู่ละติจูดที่เย็นกว่า แต่ผลการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Ecology and Evolution กลับพบว่า นกจำนวนมากไม่สามารถบินหนีพ้นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เร็วพอ

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล นำโดย Dr. Jeremy Cohen และศาสตราจารย์ Walter Jetz ได้วิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนที่ของนก 406 สายพันธุ์ในอเมริกาเหนือ รวบรวมจากผู้สังเกตการณ์ภาคประชาชนตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษ เทียบกับข้อมูลอุณหภูมิในพื้นที่เดิม พบว่าแม้นกส่วนใหญ่จะพยายามย้ายถิ่นขึ้นเหนือราว 40–50 ไมล์ในฤดูร้อน และบางชนิดย้ายขึ้นพื้นที่ที่สูงกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เพียงพอในการหนีพ้นคลื่นความร้อน

นกที่อพยพหนีร้อนได้ประสบความสำเร็จในการลดอุณหภูมิที่ต้องเผชิญเพียงครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พวกมันจะเจอหากยังอยู่ที่เดิม เช่นในฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากเดิมในถิ่นเดิมคือราว 2.6 องศาเซลเซียส แต่นกสามารถปรับตัวได้เพียงราว 1.28 องศา ซึ่งหมายความว่าพวกมันยังต้องเผชิญความร้อนใหม่ราว 1.35 องศาอยู่ดี

สรุปข่าว

งานวิจัยพบว่านกส่วนใหญ่ไม่สามารถย้ายถิ่นหนีโลกร้อนได้ทัน ส่งผลให้ยังต้องเผชิญอุณหภูมิที่สูงขึ้น สัตว์ที่บินได้ไกลอาจลดผลกระทบได้บ้าง แต่นกที่เคลื่อนที่ได้น้อยมีความเสี่ยงสูญพันธุ์สูง หากแม้แต่นกยังรับมือไม่ไหว สัตว์อื่นๆ ที่เคลื่อนไหวได้น้อยกว่าก็ยิ่งน่าเป็นห่วงในวิกฤตโลกร้อนนี้


แม้นกจะดูเป็นสัตว์ที่ได้เปรียบในการหนีภัยโลกร้อนด้วยความสามารถในการบินขึ้นที่สูงหรือบินสู่ละติจูดที่เย็นกว่า แต่ผลการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Ecology and Evolution กลับพบว่า นกจำนวนมากไม่สามารถบินหนีพ้นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เร็วพอ

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล นำโดย Dr. Jeremy Cohen และศาสตราจารย์ Walter Jetz ได้วิเคราะห์ข้อมูลการเคลื่อนที่ของนก 406 สายพันธุ์ในอเมริกาเหนือ รวบรวมจากผู้สังเกตการณ์ภาคประชาชนตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษ เทียบกับข้อมูลอุณหภูมิในพื้นที่เดิม พบว่าแม้นกส่วนใหญ่จะพยายามย้ายถิ่นขึ้นเหนือราว 40–50 ไมล์ในฤดูร้อน และบางชนิดย้ายขึ้นพื้นที่ที่สูงกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เพียงพอในการหนีพ้นคลื่นความร้อน

นกที่อพยพหนีร้อนได้ประสบความสำเร็จในการลดอุณหภูมิที่ต้องเผชิญเพียงครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พวกมันจะเจอหากยังอยู่ที่เดิม เช่นในฤดูร้อน อุณหภูมิเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจากเดิมในถิ่นเดิมคือราว 2.6 องศาเซลเซียส แต่นกสามารถปรับตัวได้เพียงราว 1.28 องศา ซึ่งหมายความว่าพวกมันยังต้องเผชิญความร้อนใหม่ราว 1.35 องศาอยู่ดี

ในฤดูหนาว สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง นกอพยพสามารถลดอุณหภูมิได้เพียง 11% เท่านั้นจากความร้อนที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 3.7 องศาเซลเซียสในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ความสามารถในการอพยพของนกเองก็มิได้เพียงพอที่จะตามให้ทันอัตราการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก ที่น่าห่วงคือ นกบางชนิดอย่าง Cactus Wren ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตแห้งแล้งกลับไม่เคลื่อนย้ายเลย ทำให้ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากยิ่งขึ้น เนื่องจากอิงอยู่กับถิ่นที่อยู่และเงื่อนไขทางนิเวศที่จำเพาะ ไม่สามารถแข่งขันหรือหาที่อยู่ใหม่ได้ง่าย

แม้นกที่บินไกลได้ เช่น Blue-winged Warbler จะสามารถย้ายได้ไกลถึงกว่า 160 กิโลเมตรและเลี่ยงความร้อนได้มากกว่าสายพันธุ์อื่น แต่พวกมันก็ยังหนีไม่พ้นอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าถิ่นเดิมที่เคยชินเมื่อ 20 ปีก่อน

เมื่อพิจารณาถึงสัตว์ที่เคลื่อนที่ได้น้อยกว่านก เช่น สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็ยิ่งน่าวิตกว่าสัตว์เหล่านี้จะไม่มีทางหนีรอดจากความร้อนที่เพิ่มขึ้นได้เลย และนั่นหมายถึง “ช่องว่าง” ที่ขยายตัวออกเรื่อยๆ ระหว่างสภาพภูมิอากาศดั้งเดิมที่สายพันธุ์ต่างๆ วิวัฒนาการมารับมือได้ กับความเป็นจริงที่อุณหภูมิร้อนขึ้นเกินขีดจำกัดดั้งเดิม

Dr. Jetz เตือนว่า "แม้แต่นก ซึ่งถือว่ามีความสามารถในการเคลื่อนที่สูง ยังปรับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว นี่จึงเป็นสัญญาณอันตรายว่าพันธุ์สัตว์อื่นๆ ที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เท่านกอาจเผชิญวิกฤตการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ หากเราไม่เร่งวางแผนจัดการและเข้าใจกลุ่มที่เสี่ยงที่สุดเหล่านี้" งานวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ EO Wilson Biodiversity Foundation และเป็นส่วนหนึ่งของ Half-Earth Project ซึ่งมีเป้าหมายอนุรักษ์ครึ่งหนึ่งของพื้นผิวโลกไว้ให้ธรรมชาติ เพื่อความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

บทเรียนสำคัญคือ แม้แต่นกก็ยังบินหนีความร้อนไม่พ้น แล้วเราจะเหลืออะไร? ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องของอนาคต แต่เป็นเรื่องเร่งด่วนในวันนี้

ที่มาข้อมูล : futurity.org

ที่มารูปภาพ : Reuters

แท็กบทความ