ส่องประวัติ 'เจมี่ วาร์ดี้' หลังขึ้นแท่นตำนานจิ้งจอกสยาม

ส่องประวัติ 'เจมี่ วาร์ดี้' หลังขึ้นแท่นตำนานจิ้งจอกสยาม

หลังจบเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 37 เจมี่ วาร์ดี้ ได้สร้างประวัติศาสตร์ที่สวยงามของตัวเองได้สำเร็จ เมื่อทำสถิติลงเล่นครบ 500 นัดให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ และยิงประตูไปทั้งสิ้น 200 ประตู หลัง วาร์ดี้ ทำได้ 1 ประตูในเกมที่ เลสเตอร์ เปิดบ้านชนะ อิปสวิช 2-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา

และเกมนัดดังกล่าว ถือเป็นเกมนัดสุดท้ายของ วาร์ดี้ ในสีเสื้อของ เลสเตอร์ ซิตี้ เนื่องจากเจ้าตัวประกาศแล้วว่าจะเล่นเกมนี้เป็นเกมนัดสุดท้าย แม้ว่าจะยังเหลือเกมพรีเมียร์ลีกอีก 1 เกมในฤดูกาล 2024-25 ก็ตาม เนื่องจากเกมที่เอาชนะ อิปสวิช คือเกมที่ เลสเตอร์ ได้เล่นในบ้านเป็นเกมสุดท้ายของฤดูกาลนี้นั่นเอง

นอกจากนี้ เป็นความตั้งใจของ วาร์ดี้ เองด้วย ที่ต้องการให้สถิติการลงเล่นของตัวเองหยุดอยู่ที่ 500 นัดถ้วน ดังนั้นถ้าจะให้สมบูรณ์แบบ กองหน้าวัย 38 ปีจะต้องทำประตูในเกมนัดนี้ให้ได้อย่างน้อย 1 ลูกด้วย เพื่อให้สถิติการถล่มประตูจบที่ 200 ลูกพอดี ซึ่งแน่นอนว่า วาร์ดี้ ทำสำเร็จ เมื่อจัดการจบสกอร์จากการจ่ายของ เจมส์ จัสติน เข้าไปแบบนิ่มๆ ในนาทีที่ 28 ของการแข่งขัน

แม้ว่า เลสเตอร์ ซิตี้ จะต้องตกชั้นไป แต่สิ่งที่ วาร์ดี้ ฝากเอาไว้ก่อนที่จะอำลาทีมไปหลังจบฤดูกาลนี้ ถือเป็นสิ่งที่แฟนบอล เลสเตอร์ จะต้องจดจำไปตลอดกาล เพราะไม่เพียงแต่จำนวนนัดและจำนวนการทำประตูจะเป็นเลขสวยจำง่ายแล้ว แชมป์รายการสำคัญของ เลสเตอร์ ก็เกิดขึ้นในยุคที่มี วาร์ดี้ เป็นหัวหอกตัวเก่งด้วยเช่นกัน

วันนี้เราจะมาส่องประวัติของ เจมี่ วาร์ดี้ กันหน่อยว่ากว่าจะเป็นตำนานของ เลสเตอร์ ซิตี้ ผู้พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกของสโมสรได้นั้น เขาผ่านอะไรมาบ้าง และน่าทึ่งมากแค่ไหน

เจมี่ วาร์ดี้ มีชื่อเต็มๆ ว่า เจมี่ ริชาร์ด วาร์ดี้ เขาเกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม ปี 1987 ปัจจุบันอายุ 38 ปี จริงๆ แล้ว วาร์ดี้ ควรจะมีชื่อและนามสกุลว่า เจมี่ กิลล์ แต่เนื่องจากคุณพ่อแท้ๆ ของ วาร์ดี้ นั้นแยกทางกับคุณแม่ของเขาตั้งแต่ยังเป็นทารก ก่อนที่เวลาต่อมา ลิซ่า คุณแม่ของ วาร์ดี้ ได้แต่งงานใหม่กับ ฟิล วาร์ดี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม วาร์ดี้ จึงเลือกใช้นามสกุลของพ่อเลี้ยงของเขา

วาร์ดี้ เกิดที่เมืองเชฟฟิลด์ และเติบโตในย่าน ฮิลล์สโบโร่ นั่นทำให้เขามี เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ เป็นทีมในดวงใจ และมี เดวิด เฮิร์สต์ กองหน้าระดับตำนานของทีมนกเค้าแมวเป็นไอดอล แน่นอนว่าเมื่อ วาร์ดี้ เริ่มต้นเล่นฟุตบอล เขาจึงเข้าไปอยู่ในอะคาเดมี่ของ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ทีมโปรดของเขา แต่ความฝันที่จะได้เล่นให้กับทีมรักของตนเองนั้นไม่เกิดขึ้น เพราะ วาร์ดี้ ถูกปล่อยออกจากทีมในตอนที่มีอายุได้ 16 ปี  

หลังออกจาก เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ เขาก็ย้ายไปอยู่กับทีมระดับนอกลีก ที่อยู่ในดิวิชั่น 8 อย่าง สต็อกบริดจ์ พาร์ค สตีล ในฤดูกาล 2005-06 และได้รับค่าเหนื่อยเพียงสัปดาห์ละ 30 ปอนด์ หรือถ้าคิดเป็นเงินไทยในอัตราเรตปัจจุบันจะอยู่ที่สัปดาห์ละ 1,328 บาท เท่ากับว่า วาร์ดี้ ได้เงินจากการเตะฟุตบอลในเวลานั้นตกเดือนละ 5,312 บาทเท่านั้น

วาร์ดี้ ใช้เวลาอยู่กับ สต็อกบริดจ์ พาร์ค สตีล อยู่ 5 ฤดูกาล โดยเริ่มได้เป็นตัวหลักของทีมตั้งแต่ซีซั่น 2007-08 เป็นต้นมา ในตอนที่เขามีอายุราว 18 ปี และทำผลงานได้น่าประทับใจ เมื่อยิงไป 14 ประตูจากการลงเล่น 37 เกมในฤดูกาลดังกล่าว ก่อนที่เบ็ดเสร็จจะได้ลงเล่นให้ สต็อกบริดจ์ ไปทั้งสิ้น 115 เกม ยิงไป 55 ประตู

สรุปข่าว

ส่องประวัติของ เจมี่ วาร์ดี้ ดาวยิงผู้เป็นตำนานตลอดกาลของ เลสเตอร์ ซิตี้ กับชีวิตที่เริ่มต้นจากนักเตะนอกลีก มาจนถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก

หลังจบเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 37 เจมี่ วาร์ดี้ ได้สร้างประวัติศาสตร์ที่สวยงามของตัวเองได้สำเร็จ เมื่อทำสถิติลงเล่นครบ 500 นัดให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ และยิงประตูไปทั้งสิ้น 200 ประตู หลัง วาร์ดี้ ทำได้ 1 ประตูในเกมที่ เลสเตอร์ เปิดบ้านชนะ อิปสวิช 2-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา

และเกมนัดดังกล่าว ถือเป็นเกมนัดสุดท้ายของ วาร์ดี้ ในสีเสื้อของ เลสเตอร์ ซิตี้ เนื่องจากเจ้าตัวประกาศแล้วว่าจะเล่นเกมนี้เป็นเกมนัดสุดท้าย แม้ว่าจะยังเหลือเกมพรีเมียร์ลีกอีก 1 เกมในฤดูกาล 2024-25 ก็ตาม เนื่องจากเกมที่เอาชนะ อิปสวิช คือเกมที่ เลสเตอร์ ได้เล่นในบ้านเป็นเกมสุดท้ายของฤดูกาลนี้นั่นเอง

นอกจากนี้ เป็นความตั้งใจของ วาร์ดี้ เองด้วย ที่ต้องการให้สถิติการลงเล่นของตัวเองหยุดอยู่ที่ 500 นัดถ้วน ดังนั้นถ้าจะให้สมบูรณ์แบบ กองหน้าวัย 38 ปีจะต้องทำประตูในเกมนัดนี้ให้ได้อย่างน้อย 1 ลูกด้วย เพื่อให้สถิติการถล่มประตูจบที่ 200 ลูกพอดี ซึ่งแน่นอนว่า วาร์ดี้ ทำสำเร็จ เมื่อจัดการจบสกอร์จากการจ่ายของ เจมส์ จัสติน เข้าไปแบบนิ่มๆ ในนาทีที่ 28 ของการแข่งขัน

แม้ว่า เลสเตอร์ ซิตี้ จะต้องตกชั้นไป แต่สิ่งที่ วาร์ดี้ ฝากเอาไว้ก่อนที่จะอำลาทีมไปหลังจบฤดูกาลนี้ ถือเป็นสิ่งที่แฟนบอล เลสเตอร์ จะต้องจดจำไปตลอดกาล เพราะไม่เพียงแต่จำนวนนัดและจำนวนการทำประตูจะเป็นเลขสวยจำง่ายแล้ว แชมป์รายการสำคัญของ เลสเตอร์ ก็เกิดขึ้นในยุคที่มี วาร์ดี้ เป็นหัวหอกตัวเก่งด้วยเช่นกัน

วันนี้เราจะมาส่องประวัติของ เจมี่ วาร์ดี้ กันหน่อยว่ากว่าจะเป็นตำนานของ เลสเตอร์ ซิตี้ ผู้พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกของสโมสรได้นั้น เขาผ่านอะไรมาบ้าง และน่าทึ่งมากแค่ไหน

เจมี่ วาร์ดี้ มีชื่อเต็มๆ ว่า เจมี่ ริชาร์ด วาร์ดี้ เขาเกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม ปี 1987 ปัจจุบันอายุ 38 ปี จริงๆ แล้ว วาร์ดี้ ควรจะมีชื่อและนามสกุลว่า เจมี่ กิลล์ แต่เนื่องจากคุณพ่อแท้ๆ ของ วาร์ดี้ นั้นแยกทางกับคุณแม่ของเขาตั้งแต่ยังเป็นทารก ก่อนที่เวลาต่อมา ลิซ่า คุณแม่ของ วาร์ดี้ ได้แต่งงานใหม่กับ ฟิล วาร์ดี้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม วาร์ดี้ จึงเลือกใช้นามสกุลของพ่อเลี้ยงของเขา

วาร์ดี้ เกิดที่เมืองเชฟฟิลด์ และเติบโตในย่าน ฮิลล์สโบโร่ นั่นทำให้เขามี เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ เป็นทีมในดวงใจ และมี เดวิด เฮิร์สต์ กองหน้าระดับตำนานของทีมนกเค้าแมวเป็นไอดอล แน่นอนว่าเมื่อ วาร์ดี้ เริ่มต้นเล่นฟุตบอล เขาจึงเข้าไปอยู่ในอะคาเดมี่ของ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ทีมโปรดของเขา แต่ความฝันที่จะได้เล่นให้กับทีมรักของตนเองนั้นไม่เกิดขึ้น เพราะ วาร์ดี้ ถูกปล่อยออกจากทีมในตอนที่มีอายุได้ 16 ปี  

หลังออกจาก เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ เขาก็ย้ายไปอยู่กับทีมระดับนอกลีก ที่อยู่ในดิวิชั่น 8 อย่าง สต็อกบริดจ์ พาร์ค สตีล ในฤดูกาล 2005-06 และได้รับค่าเหนื่อยเพียงสัปดาห์ละ 30 ปอนด์ หรือถ้าคิดเป็นเงินไทยในอัตราเรตปัจจุบันจะอยู่ที่สัปดาห์ละ 1,328 บาท เท่ากับว่า วาร์ดี้ ได้เงินจากการเตะฟุตบอลในเวลานั้นตกเดือนละ 5,312 บาทเท่านั้น

วาร์ดี้ ใช้เวลาอยู่กับ สต็อกบริดจ์ พาร์ค สตีล อยู่ 5 ฤดูกาล โดยเริ่มได้เป็นตัวหลักของทีมตั้งแต่ซีซั่น 2007-08 เป็นต้นมา ในตอนที่เขามีอายุราว 18 ปี และทำผลงานได้น่าประทับใจ เมื่อยิงไป 14 ประตูจากการลงเล่น 37 เกมในฤดูกาลดังกล่าว ก่อนที่เบ็ดเสร็จจะได้ลงเล่นให้ สต็อกบริดจ์ ไปทั้งสิ้น 115 เกม ยิงไป 55 ประตู

หลังทำผลงานได้น่าประทับใจ วาร์ดี้ ก็ถูก ฮาลิแฟ็กซ์ ทาวน์ ทีมในระดับ นอร์ธ พรีเมียร์ลีก พรีเมียร์ ดิวิชั่น หรือใน ดิวิชั่น 7 ของอังกฤษ ซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 15,000 ปอนด์ หรือราว 6.6 แสนบาท ซึ่ง วาร์ดี้ ก็ระเบิดฟอร์มได้ในทันที เมื่อยิงไป 25 ประตูจากการลงเล่น 37 ในเกมทุกรายการ คว้ารางวัลดาวซัลโวประจำทีม และได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร นอกจากนี้ยังช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ นอร์ธ พรีเมียร์ลีก พรีเมียร์ ดิวิชั่น ไปครองได้ในฤดูกาล 2010-11

วาร์ดี้ ยังคงร้อนแรงต่อเนื่องในฤดูกาลถัดมา เมื่อจัดการยิงไป 4 ประตูจากการลงสนาม 3 นัดแรก ในการเล่นให้ ฮาลิแฟ็กซ์ ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ในระดับ เนชั่นแนล ลีก นอร์ธ หรือในระดับดิวิชั่น 6 ทำให้ไปเตะตา ฟลีตวู้ด ทาวน์ ที่ปัจจุบันนี้อยู่ใน ลีกทู อังกฤษ แต่ในเวลานั้นยังเล่นอยู่ในระดับ เนชั่นแนล ลีก หรือในดิวิชั่น 5 จัดการคว้าตัว วาร์ดี้ มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 140,000 ปอนด์ หรือราว 6.2 ล้านบาท นั่นหมายความว่าในห้วงเวลาเพียงปีเศษๆ ค่าตัวของ วาร์ดี้ เพิ่มจากเดิมถึง 10 เท่า

ซึ่งแน่นอนว่า วาร์ดี้ ที่เวลานั้นอายุ 24 ปี ยังคงระเบิดฟอร์มอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับต้องการแสดงให้เห็นว่าระดับฝีเท้าของเขานั้น ดีเกินกว่าที่จะมาป้วนเปี้ยนในการเล่นระดับนอกลีก เขาจัดการซัดไป 34 ประตู จากการลงสนาม 42 เกมในทุกรายการให้กับ ฟลีตวู้ด ทาวน์ ช่วยให้ต้นสังกัดใหม่ผงาดคว้าแชมป์ เนชั่นแนล ลีก ได้ทันที (ในเวลานั้นยังเรียกว่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก) และพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ลีก ทู ซึ่งถือว่าเป็นระดับฟุตบอลลีกได้เป็นครั้งแรกของสโมสร

จากผลงานที่พุ่งขึ้นมาราวกับดอกไม้ไฟ ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เวลานั้นอยู่ในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ไม่รอช้า จัดการทุ่มเงิน 1 ล้านปอนด์ หรือราว 44 ล้านบาท คว้าตัว วาร์ดี้ มาเสริมทัพทันที ซึ่งถือเป็นนักเตะที่อยู่ในระดับ "นอกลีก" ที่มีค่าตัวแพงที่สุด แถมยังมีโบนัสเพิ่มเติมอีก 7 แสนปอนด์ในอนาคต นั่นหมายความว่าค่าตัวรวมของ วาร์ดี้ นั้น อยู่ที่ 1.7 ล้านปอนด์ หรือราว 75 ล้านบาทเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เมื่อชีวิตก้าวกระโดดมาถึงจุดที่เจ้าตัวคาดไม่ถึง จากคนที่เริ่มเล่นฟุตบอลในระดับดิวิชั่น 8 และมีค่าเหนื่อยเพียงสัปดาห์ละ 30 ปอนด์ มีค่าตัวในการย้ายทีมครั้งแรกเพียง 15,000 ปอนด์ สามารถก้าวขึ้นมาอยู่กับทีมที่กำลังมุ่งมั่นกลับขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ แน่นอนว่า วาร์ดี้ ได้รับค่าจ้างสูงอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน จนทำให้เขาใช้ชีวิตไม่ถูก วินัยที่เคยมีกลับหายไป และส่งผลกระทบต่อฟอร์มการเล่นในสนาม

ในฤดูกาลแรกกับ เลสเตอร์ นั้น วาร์ดี้ มีฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่อย่างมาก เขายิงได้เพียง 5 ประตูเท่านั้นจากการลงเล่น 29 นัดในทุกรายการ แน่นอนว่าระดับของลีกนั้นยากขึ้นกว่าที่เขาเคยเจอ แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้เขาฟอร์มตกมาจากชีวิตนอกสนามของเขาเองมากกว่า จนทำให้ถูกแฟนบอลวิจารณ์อย่างหนัก จนถึงขั้นที่ วาร์ดี้ มีความคิดที่จะเลิกเล่นฟุตบอลในเวลานั้นเลย แต่เป็น ไนเจล เพียร์สัน กุนซือของทีมในเวลานั้นและผู้ช่วยกุนซืออย่าง เคร็ก เชคสเปียร์ ช่วยกันโน้มน้าวให้ วาร์ดี้ เล่นฟุตบอลต่อไป

รวมถึงการได้รับโอกาสจากผู้บริหารชาวไทยของ เลสเตอร์ อย่างคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา อดีตประธานสโมสรผู้ล่วงลับ ทำให้ วาร์ดี้ ตั้งสติและกลับมาอยู่ในร่องในรอยอีกครั้ง ทำให้ในฤดูกาล 2013-14 วาร์ดี้ กลับมาระเบิดฟอร์ม ยิงไป 16 ประตูจากการลงเล่น 41 เกม ช่วยให้ เลสเตอร์ คว้าแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ และเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้อีกครั้ง และจากผลงานดังกล่าวทำให้ วาร์ดี้ ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรด้วย

วาร์ดี้ กลายเป็นกองหน้าคนสำคัญของทีมนับตั้งแต่นั้นมา และพา เลสเตอร์ โลดแล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีกถึง 9 ฤดูกาลติดต่อกัน ซึ่งแน่นอนว่า ฤดูกาลที่ต้องถูกจดจำมากที่สุด คือปี 2015-16 เพราะนั่นคือฤดูกาลที่ทีมจิ้งจอกสยามสร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้เป็นครั้งแรกของสโมสร

ในฤดูกาลดังกล่าว เลสเตอร์ ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ นั้น ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นทีมที่มีโอกาสลุ้นแชมป์แต่อย่างใด ในวันที่ออกสตาร์ทฤดูกาล เลสเตอร์ ถูกร้านรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษ ออกอัตราต่อรองในการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกไว้ที่ 2000/1 หรือแทง 1 จ่าย 2000 ซึ่งเป็นอัตราที่บ่งบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ เลสเตอร์ จะสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ในฤดูกาลนั้น

อย่างไรก็ตาม เลสเตอร์ ที่น่าจะมีทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ นำโดยผู้รักษาประตูอย่าง แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล กองหลังกัปตันทีมอย่าง เวส มอร์แกน ที่จับคู่เซนเตอร์กับ โรเบิร์ต ฮูธ มีแบ็กซ้ายขวาอย่าง แดนนี่ ซิมพ์สัน และ คริสเตียน ฟุคส์ มิดฟิลด์คู่กลางอย่าง แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ตัวริมเส้นสองฝั่งอย่าง มาร์ค อัลไบรท์ตัน และ ริยาด มาห์เรซ และกองหน้าอย่าง ชินจิ โอคาซากิ และ เจมี่ วาร์ดี้ กลับทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง

ประกอบกับในฤดูกาลนั้น ทีมใหญ่อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, แมนฯ ซิตี้ หรือแม้แต่ อาร์เซน่อล กลับไม่ได้มีผลงานที่คงเส้นคงวานัก ทำให้ในช่วงท้ายฤดูกาลกลายเป็นทีมอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่ขับเคี่ยวแย่งแชมป์กับ เลสเตอร์ รวมถึง อาร์เซน่อล ที่มาแรงในช่วงท้าย แต่ทั้งสองทีมก็ไล่ตาม เลสเตอร์ ไม่ทัน ทำให้ทีมจิ้งจอกสยามผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด หลังเก็บไปทั้งสิ้น 81 แต้ม ทำสถิติชนะ 23 เสมอ 12 และแพ้แค่ 3 เกมเท่านั้น

ขณะที่ตัว วาร์ดี้ ก็ทำผลงานดีที่สุดในการเล่นอาชีพกับ เลสเตอร์ เมื่อยิงไป 24 ประตูจากการลงเล่น 36 นัดในพรีเมียร์ลีก คว้าอันดับ 2 ของดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก ร่วมกันกับ เซร์คิโอ อกวยโร่ ของ แมนฯ ซิตี้ และเป็นรอง แฮร์รี่ เคน ที่เป็นดาวซัลโวในปีนั้นที่จำนวน 25 ประตู นอกจากนี้ วาร์ดี้ ยังได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากสมาคมผู้สื่อข่าวของอังกฤษ และคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีกมาครองได้อีกด้วย

จากผลงานอันสุดยอดของ วาร์ดี้ ในวัย 29 ปี ทำให้ในเดือนมิถุนายนปี 2016 อาร์เซน่อล ที่ตอนนั้นยังมี อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นกุนซือ ได้ยื่นข้อเสนอ 22 ล้านปอนด์ หรือราว 973 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าฉีกสัญญาให้กับทาง เลสเตอร์ เพื่อคว้าตัว วาร์ดี้ ไปร่วมทีม ถือเป็นโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้นครั้งเดียวที่ วาร์ดี้ จะได้ก้าวขึ้นไปอยู่กับทีมที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นยักษ์ใหญ่ของพรีเมียร์ลีก

อย่างไรก็ตาม อีก 20 วันต่อมา วาร์ดี้ ตัดสินใจที่จะบอกปัด อาร์เซน่อล และต่อสัญญาใหม่กับ เลสเตอร์ ออกไปอีก 4 ปี ซึ่งตามรายงานอ้างว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะ อาร์เซน่อล ไม่อาจให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะสามารถเล่นในตำแหน่งปกติได้ อันเนื่องมาจากเหตุผลทางแท็คติก เพราะ อาร์เซน่อล เน้นการเล่นแบบครอบครองบอล ขณะที่ เลสเตอร์ จะใช้วิธีเล่นแบบโต้กลับเร็ว ซึ่งเข้ากับสไตล์การเล่นของ วาร์ดี้ มากกว่า

การบอกปัดไม่ย้ายไป อาร์เซน่อล ในครั้งนั้น ถือเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตของ วาร์ดี้ จริงๆ ที่จะได้ย้ายไปทีมใหญ่ แต่ดูๆ ไปแล้วน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของเจ้าตัวมากกว่า เพราะในฤดูกาล 2020-21 เลสเตอร์ ก็สร้างชื่อได้อีกครั้ง เมื่อสามารถเดินหน้าคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้สำเร็จ และเป็นการคว้าแชมป์รายการนี้เป็นครั้งแรกของสโมสร หลังเอาชนะ เชลซี 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ จากประตูชัยของ ยูริ ตีเลมันส์ ในนาทีที่ 63

หลังจากนั้น วาร์ดี้ ก็เป็นตัวหลักให้กับ เลสเตอร์ มาตลอด แม้ว่าอายุจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครสามารถแย่งตำแหน่งตัวจริงจากเขาได้ เพราะความเฉียบคมในการทำประตูของ วาร์ดี้ ยังคงเป็นสิ่งที่ทีมพึ่งพาได้เสมอ แม้กระทั่งทีมต้องตกชั้นไปอยู่ใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในฤดูกาล 2023-24 แต่ วาร์ดี้ ก็ยังไม่ทิ้งทีมไปไหน ยังคงระเบิดฟอร์มยิง 20 ประตูจาก 37 เกม พา เลสเตอร์ กลับสู่พรีเมียร์ลีกได้ทันทีในปีต่อมา

อย่างไรก็ตาม ด้วยอายุที่มากถึง 38 ปีแล้ว ประกอบกับ เลสเตอร์ ไม่ได้มีองค์ประกอบทีมที่ดีเหมือนหลายปีก่อน ทำให้พวกเขาต้องเจอกับฤดูกาลที่ยากลำบาก และทำให้ทีมจิ้งจอกสยามต้องตกชั้นไปอีกครั้ง ก่อนที่ฤดูกาล 2024-25 จะจบลงหลายเกม

นั่นทำให้ วาร์ดี้ ตัดสินใจที่จะอำลาทีมหลังจากที่ฤดูกาลนี้จบลง และวางแผนไว้ว่าจะเล่นนัดสุดท้ายในเกมที่ เลสเตอร์ เปิดบ้านพบ อิปสวิช ในเกมนัดที่ 37 ซึ่งเป็นการเล่นในบ้านเกมสุดท้ายในฤดูกาลนี้ของ เลสเตอร์ ซึ่งก็อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า วาร์ดี้ สร้างสถิติที่สวยงามไว้จริงๆ เมื่อลงเล่นไปทั้งสิ้น 500 นัด ทำไปทั้งสิ้น 200 ประตู

แม้ว่าจะยังไม่ได้ประกาศว่าจะแขวนสตั๊ด และยังไม่รู้ว่าเขาจะย้ายไปอยู่กับทีมไหนต่อไป ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะอยู่ในระดับพรีเมียร์ลีกแล้ว แต่สิ่งที่ วาร์ดี้ ทำไว้กับ เลสเตอร์ นั้น ทำให้เขากลายเป็นตำนานของทีมที่แฟนๆ จะต้องจดจำไปตลอดกาลอย่างแน่นอน และคงจะไม่แปลกอะไรหากว่าวันหนึ่ง เลสเตอร์ จะมีรูปปั้นของ วาร์ดี้ ตั้งไว้บริเวณด้านหน้าของ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม...

ที่มาข้อมูล : TNN

ที่มารูปภาพ : AFP