เปิดประวัติ 'โธมัส ทูเคิ่ล' โค้ชฝีมือดีจากเมืองเบียร์ที่กำลังพาเชลซีเข้าโหมดโหด

เปิดประวัติ 'โธมัส ทูเคิ่ล' โค้ชฝีมือดีจากเมืองเบียร์ที่กำลังพาเชลซีเข้าโหมดโหด

สรุปข่าว

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : โธมัส ทูเคิ่ล

เกิด : 29 สิงหาคม 1973

อายุ : 47 ปี

สถานที่เกิด : ครุมบัค เยอรมนีตะวันตก

ส่วนสูง : 190 เซนติเมตร


ชีวิตค้าแข้ง

โธมัส ทูเคิล ไม่ประสบความสำเร็จนักในสมัยที่เป็นนักเตะ โดยเคยผ่านการเล่นฟุตบอลอาชีพในตำแหน่งกองหลังกับ 2 ทีมเท่านั้น และเป็นสโมสรในลีกล่างของเยอรมนีคือ คิกเกอร์ สตุทการ์ท ในปี 1992-1994 และ อูล์ม ระหว่างปี 1994-1998  หลังจากนั้น ทูเคิล จำเป็นต้องยุติการค้าแข้ง เนื่องจากประสบปัญหาอาการเจ็บเข่าเรื้อรังจนต้องแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 25 ปี แต่ในขณะเดียวกัน ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีอยู่ เพราะนั่นทำให้ ทูเคิล ได้ผันตัวมายังบทบาทใหม่ นั่นคือเส้นทางการเป็นโค้ชตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มไฟแรง


เริ่มต้นเส้นทางโค้ช

หลังจากแขวนสตั๊ดในปี 1998 ทูเคิลเดินหน้าศึกษาเรื่องโค้ชและศาสตร์ลูกหนัง จนได้เริ่มต้นบทบาทใหม่ด้วยการเข้าเป็นโค้ชทีมเยาวชนของ “ม้าขาว” สตุตการ์ท สโมสรดังของบุนเดสลีกา เมื่อปี 2000 ก่อนจะมีส่วนช่วยสร้างแข้งดาวรุ่งฝีเท้าดี ซึ่งกลายเป็นสตาร์ดังในเวลาต่อมาอย่าง โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์ และ มาริโอ โกเมซ จากนั้น ทูเคิล โยกไปเป็นหนึ่งในทีมสตาฟฟ์โค้ชเยาวชนของ เอาก์สบวร์ก ในปี 2005 และทำหน้าที่นี้อยู่ประมาณ 3 ปี ก็ได้รับโอกาสขึ้นเป็นเฮดโค้ชทีมสำรองของ เอาก์สบวร์ก ก่อนจะถูกดึงตัวไปเป็นเฮดโค้ชทีมเยาวชนของ ไมนซ์ 05 ในปี 2008 หลังจากทำหน้าที่ในทีมเยาวชนได้แค่ปีเดียว ทูเคิ่ลถูกดันขึ้นมานั่งเก้าอี้กุนซือทีมชุดใหญ่ของ ไมนซ์ โดยเข้ามาเสียบแทน เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ย้ายไปคุม “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์  และที่สำคัญ ในฤดูกาลนั้น ไมนซ์ ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในบุนเดสลีกาพอดี ทำให้ ทูเคิ่ล กลายเป็นกุนซืออายุน้อยที่สุดในศึกบุนเดสลีกาซีซั่น 2009-2010 ด้วยวัยเพียง 35 ปี และจะต้องมาวัดกึ๋นกับบรรดาโค้ชรุ่นพี่เขี้ยวลากดิน ไม่ว่าจะเป็น จุ๊ปป์ ไฮย์เกส, หลุยส์ ฟาน กัล, ราล์ฟ รังนิก, โธมัส ชาฟ หรือ เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่ปรากฏว่า ทูเคิ่ล พิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนได้เห็นเมื่อสามารถพาทีมน้องใหม่อย่าง ไมนซ์ รอดตกชั้นแบบสบายๆ แถมจบในครึ่งบนของตารางอีกด้วย โดย ไมนซ์ ปิดซีซั่นในอันดับ 9 ของตารางบุนเดสลีกา 


ผลงานแจ้งเกิด

ต่อมาในฤดูกาล 2010/11 ถือเป็นฤดูกาลแจ้งเกิดของ ทูเคิล อย่างแท้จริง เมื่อเขาพา ไมนซ์ ระเบิดฟอร์มออกสตาร์ทซีซั่นด้วยการคว้าชัย 7 นัดติดต่อกัน โดยเฉพาะการบุกไปเชือด “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค 2-1 ถึงถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า เล่นเอาทุกสายตาในวงการลูกหนังเมืองเบียร์ต้องจับจ้องมาที่กุนซือหนุ่มนามว่า โธมัส ทูเคิล ซึ่ง ไมนซ์ ในฤดูกาลนั้นใช้ผู้เล่นดาวรุ่งเป็นกำลังสำคัญในเกมรุก อาทิ อดัม ซาไล, อันเดร เชอร์เล และลูอิส โฮลต์บี้ ที่ยืมตัวมาจากชาลเก้ ช่วยกันวิ่งสู้ฟัด ผสมผสานกับเกมรับที่ใช้แข้งเก๋าประสบการณ์สูงเป็นหลัก และสุดท้าย ทูเคิล ก็พาทีมจบอันดับ 5 ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร


อย่างไรก็ตาม ด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมของผู้เล่นหลายคน ทำให้ ไมนซ์ โดนทีมใหญ่เข้ามาจีบผู้เล่นคนสำคัญของพวกเขาไปในซีซั่นต่อมา โดย ลูอิส โฮลต์บี้ ถูกดึงตัวกลับชาลเก้ นอกจากนี้ ชาลเก้ ยังคว้าเอา คริสเตียน ฟุคส์ แบ็กซ้ายตัวเก่งไปร่วมทีมด้วย และที่สำคัญคือ อันเดร เชอร์เล ซึ่งถูก เลเวอร์คูเซ่น ทุ่มเงิน 8.5 ล้านยูโร กระชากตัวไปเสริมทัพ นั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ไมนซ์ ไม่ร้อนแรงเหมือนเดิม แต่ ทูเคิล ก็ยังพาทีมอยู่รอดปลอดภัยในบุนเดสลีกา โดยจบที่ 13 ในฤดูกาล 2011/12, 2012/13 และอันดับ 7 ในฤดูกาล 2013/14


ก้าวสู่งานใหญ่

หลังจากนั้น ทูเคิ่ล ยกระดับตัวเองมารับงานที่ใหญ่ขึ้น นั่นคือการคุมทัพ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในปี 2015 และเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เขาเข้ามาคุมทีมต่อจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ซึ่งโยกไปคุม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล โดยสาเหตุที่ดอร์ทมุนด์เลือกใช้บริการ ทูเคิล เนื่องจากมองว่าเขามีสไตล์และปรัชญาการทำทีมคล้ายคลึงกับคล็อปป์ จึงน่าจะมาสานงานต่อไม่ยาก


ปีแรกของ ทูเคิล กับดอร์ทมุนด์ ในฤดูกาล 2015-2016 เขาพาทีมจบด้วยการเป็น “ดับเบิ้ลรองแชมป์” ทั้งบุนเดสลีกา และเดเอฟเบ โพคาล จากนั้นฤดูกาลต่อมา ทูเคิล คว้าแชมป์แรกในอาชีพของกุนซือได้สำเร็จ ด้วยแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ส่วนผลงานในบุนเดสลีกาจบในอันดับ 3 อย่างไรก็ตาม ด้วยสโมสรระดับดอร์ทมุนด์ เป้าหมายอันดับแรกของพวกเขาคือ “แชมป์บุนเดสลีกา” นั่นหมายความว่า ทูเคิล ไม่สามารถทำได้ตรงตามเป้า นอกจากนี้ ทูเคิ่ล ยังมีปัญหาเรื่องการทำทีมกับบอร์ดบริหาร โดยเฉพาะเรื่องนโยบายการซื้อขายนักเตะ ทำให้ต่อมา ดอร์ทมุนด์ ตัดสินใจปลด ทูเคิ่ล ตกเก้าอี้ในเดือนพฤษภาคม 2017


หลังจากว่างงานได้ประมาณ 1 ปี ทูเคิ่ลก็กลับคืนสู่วงการอีกครั้ง โดยเซ็นสัญญา 2 ปี เข้ารับตำแหน่งกุนซือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยักษ์ใหญ่แห่งลีกเอิง โดยเข้ามาแทน อูไน เอเมรี่ ในเดือนพฤษภาคม 2018 ซึ่งผลงานในฤดูกาลแรกกับเปแอสเช ทูเคิ่ลพาทีมคว้าแชมป์ลีกเอิง 2018-2019 แต่ไม่สำเร็จในฟุตบอลถ้วยรายการอื่นๆ โดยเฉพาะ “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก” ซึ่งพวกเขาจอดป้ายที่รอบ 16 ทีมสุดท้ายอย่างน่าเจ็บใจ หลังเสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์รวม 3-3 แต่พ่ายไปด้วยกฏอเวย์โกล 


ซีซั่นต่อมา 2019-2020 ทูเคิลปรับจูน เปแอสเช ได้ลงตัวมากขึ้น และสามารถพาทีมทำ “ทริปเปิ้ลแชมป์” ในประเทศ ทั้งแชมป์ลีกเอิง, เฟร้นช์ คัพ, เฟร้นช์ ลีก คัพ และเกือบสร้างประวัติศาสตร์ซิวแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีกด้วย โดยเปแอสเชเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนจะอกหักได้รองแชมป์ หลังพ่ายต่อ บาเยิร์น มิวนิค 0-1


อย่างไรก็ตาม มาถึงซีซั่น 2020-2021 เปแอสเชทำผลงานได้ดีในเกมยูซีแอล โดยผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ในฐานะแชมป์กลุ่มเอช แต่ฟอร์มในลีกเอิงไม่ดีนัก และที่สำคัญคือ ทูเคิล ไปมีปัญหากับบอร์ดสโมสร โดยเฉพาะความขัดแย้งกับผู้อำนวยการด้านกีฬาอย่าง เลโอนาร์โด้ จนในที่สุด เปแอสเช ก็ยื่นซองขาวตะเพิด ทูเคิล พ้นตำแหน่งไปเมื่อเดือนธันวาคม 2020 ก่อนจะดึง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ มารับงานแทนในเวลาต่อมา ส่วน ทูเคิ่ล ก็ว่างงานได้ไม่นาน โดยผ่านไปแค่ประมาณเดือนเดียว กุนซือชาวเยอรมันรายนี้ก็ได้เจอกับความท้าทายใหม่ เมื่อจรดปากกาเซ็นสัญญาคุมทัพ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี สโมสรดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก แทนที่ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม 2021 ซึ่ง ทูเคิ่ล ก็พาทีมสิงห์บลูกลับมาโชว์ฟอร์มได้แข็งแกร่งอีกครั้ง


เชลซี ภายใต้การคุมทัพของทูเคิ่ล จบอันดับ 4 ศึกพรีเมียร์ลีก 2020/21 และได้เข้าชิงเอฟเอ คัพ ก่อนจะไปพ่ายต่อ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-1 แต่สุดท้าย ทูเคิ่ล ก็สามารถทำให้ทีมสิงห์บลูส์มีแชมป์ติดมือ แถมยังเป็นโทรฟี่ใหญ่อีกต่างหาก นั่นคือการผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการเฉือนชนะ แมนฯ ซิตี้ 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้น "โบว์แดง" ของทูเคิ่ล หลังจากเข้ามารับงานคุมเชลซีได้แค่ประมาณ 4 เดือนเท่านั้น 


ทว่าในซีซั่น 2021-22 เขายังเดินหน้าล่าแชมป์ต่อเนื่องด้วยการครองถ้วย ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ หลังดวลจุดโทษเอาชนะ บียาร์เรอัล ของสเปน หวุดหวิด นับเป็นแชมป์รายการที่สองของเขากับเชลซี ขณะที่การเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก 2021-22 พาทีมออกสตาร์ทด้วยการชนะสองนัดรวด เหนือทั้ง คริสตัล พาเลซ 3-0 และบุกชนะ อาร์เซนอล 2-0 รั้งรองจ่าฝูงของตารางชนิดเท่ห์ๆ แบบยังไม่เสียประตูให้ใคร


เกียรติประวัติ

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 

แชมป์เดเอฟเบ โพคาล 2016-2017


ปารีส แซงต์ แชร์กแมง

แชมป์ลีกเอิง 2018-2019 , 2019-2020

แชมป์เฟรนช์ คัพ 2019-2020

แชมป์เฟรนช์ ลีก คัพ 2019-2020

แชมป์เฟรนช์ ซูเปอร์คัพ 2018 , 2019

รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019-2020


เชลซี

แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2020-2021

แชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2021



ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เปิดฤดูกาลใหม่


📌สมัครแพ็กเกจ True Visions Platinum HD โทร. 02-700-8000 กด 3

📌สมัครแพ็กเกจเสริม ทรูพรีเมียร์ ฟุตบอล เอชดี พลัส กด *482*299*หมายเลขสมาร์ทการ์ด# แล้วโทรออก สำหรับลูกค้าที่ผูกเบอร์ ทรูมูฟเอช


หรือ พิมพ์ 299 เว้นวรรคตามด้วยหมายเลขสมาร์ทการ์ด ส่งมาที่ 4827882 (ทุกเครือข่ายครั้งละ 3 บาท)* ราคาดังกล่าวไม่รวม Vat 7%


รายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-700-8000 

หรือคลิกที่นี่>> www.truevisions.co.th

ที่มาข้อมูล : -

ที่มารูปภาพ :

avatar

TNNThailand

แท็กบทความ