ส่องหุ้นเด่น ! รับเทรนด์"ดอกเบี้ย"ขาลง ตัวไหนน่าเก็งกำไร เช็กเลย?

ส่องหุ้นเด่น ! รับเทรนด์"ดอกเบี้ย"ขาลง  ตัวไหนน่าเก็งกำไร เช็กเลย?

สิ้นสุดการรอคอย ! หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)  ลงมติ 11 ต่อ 1 เสียง มีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่  4.00%-4.25%  โดย “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด แถลงว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการลดโดยมีจุดประสงค์ด้านการจัดการกับความเสี่ยง โดยเฉพาะภาคแรงงานที่เริ่มมีความเปราะบางมากขึ้นเมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ

ขณะที่ Dot Plot หรือการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ปีนี้เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก  2 ครั้ง ครั้งละ 0.25%  ส่วนปี 2569-2570 จะลดอัตราดอกเบี้ยเพียงปีละ 0.25% หรือปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการในเดือนมิถุนายน สะท้อนให้เห็นว่าเฟดมีการเร่งลดดอกเบี้ยในปีนี้ แต่ชะลอการลดดอกเบี้ยในปีถัดไป  โดยทุกการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามา และการประเมินความเสี่ยงในแต่ละช่วงเวลา (meeting-by-meeting situation)  

แม้เฟดยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อและอัตราว่างงานในปีนี้ไว้เท่าเดิม แต่ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ในปีนี้จาก 1.4% เป็น 1.6% ขณะที่แบบจำลอง GDPNow ล่าสุดของเฟดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 3.3% ในไตรมาส 3/2568 หลังจากหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1/ 68และขยายตัว 3.3% ในไตรมาส 2/68

ทันทีที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย  ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันที่ 18 ก.ย.เด้งรับข่าวทันที ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 46,142.42 จุด เพิ่มขึ้น 124.10 จุด หรือ +0.27%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,631.96 จุด เพิ่มขึ้น 31.61 จุด หรือ +0.48%  ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,470.73 จุด เพิ่มขึ้น 209.40 จุด หรือ +0.94%

สวนทางตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 18 ก.ย. ดัชนีปิดที่ระดับ 1,297.01 จุด ลดลง 9.68 จุด (-0.74%) มูลค่าซื้อขาย 44,929.51 ล้านบาท หลังจากรับรู้ผลการประชุมเฟด  

ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร และนโยบายดอกเบี้ยของไทยจะมีโอกาสปรับลดลงตามเฟดหรือไม่ และส่งผลต่อค่าเงินบาท และเงินทุนเคลื่อนย้ายหมากน้อยแค่ไหน ในวันนี้ TNN Onlile พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ  

เริ่มจาก อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.ทิสโก้  ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เหลือการประชุมอีก 2 ครั้งในปีนี้คือวันที่ 8 ต.ค. และวันที่ 17 ธ.ค. คาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในเดือนธ.ค.นี้ 0.25% หลังจากนั้นในไตรมาส 1/69 มองว่าจะปรับลงอีก 1 ครั้ง 0.25% ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านไทยไม่ได้มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ โดยเงินเฟ้อของไทย เดือนส.ค.ที่ผ่านมา ลดลง 0.79% ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไม่โตเต็มศักยภาพ

ขณะที่เงินทุนเคลื่อนย้ายหลังเฟดลดดอกเบี้ยจะทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทยเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่ม โดยช่วงต้นปีค่าเงินบาทของไทยแตะที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันแตะที่ระดับ 31.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 8% 

สรุปข่าว

เทรนด์ทิศทางดอกเบี้ยโลกส่อแววขาลง หลังเฟดหั่นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 9 เดือนลง 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 4-4.25% หลังตลาดแรงงานอ่อนแอกูรูประเมินดอกเบี้ยไทยอาจจะปรับลดลงเพียง 1 ครั้งเหตุไทยไม่มีปัญหาเงินเฟ้อ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ ชูหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ เลี่ยงหุ้นเกี่ยวข้องกับพลังงาน-ปิโตรเคมี-ส่งออก

สิ้นสุดการรอคอย ! หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)  ลงมติ 11 ต่อ 1 เสียง มีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่  4.00%-4.25%  โดย “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด แถลงว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการลดโดยมีจุดประสงค์ด้านการจัดการกับความเสี่ยง โดยเฉพาะภาคแรงงานที่เริ่มมีความเปราะบางมากขึ้นเมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ

ขณะที่ Dot Plot หรือการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ปีนี้เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก  2 ครั้ง ครั้งละ 0.25%  ส่วนปี 2569-2570 จะลดอัตราดอกเบี้ยเพียงปีละ 0.25% หรือปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการในเดือนมิถุนายน สะท้อนให้เห็นว่าเฟดมีการเร่งลดดอกเบี้ยในปีนี้ แต่ชะลอการลดดอกเบี้ยในปีถัดไป  โดยทุกการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามา และการประเมินความเสี่ยงในแต่ละช่วงเวลา (meeting-by-meeting situation)  

แม้เฟดยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อและอัตราว่างงานในปีนี้ไว้เท่าเดิม แต่ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ในปีนี้จาก 1.4% เป็น 1.6% ขณะที่แบบจำลอง GDPNow ล่าสุดของเฟดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 3.3% ในไตรมาส 3/2568 หลังจากหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1/ 68และขยายตัว 3.3% ในไตรมาส 2/68

ทันทีที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย  ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันที่ 18 ก.ย.เด้งรับข่าวทันที ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 46,142.42 จุด เพิ่มขึ้น 124.10 จุด หรือ +0.27%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,631.96 จุด เพิ่มขึ้น 31.61 จุด หรือ +0.48%  ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,470.73 จุด เพิ่มขึ้น 209.40 จุด หรือ +0.94%

สวนทางตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 18 ก.ย. ดัชนีปิดที่ระดับ 1,297.01 จุด ลดลง 9.68 จุด (-0.74%) มูลค่าซื้อขาย 44,929.51 ล้านบาท หลังจากรับรู้ผลการประชุมเฟด  

ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร และนโยบายดอกเบี้ยของไทยจะมีโอกาสปรับลดลงตามเฟดหรือไม่ และส่งผลต่อค่าเงินบาท และเงินทุนเคลื่อนย้ายหมากน้อยแค่ไหน ในวันนี้ TNN Onlile พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ  

เริ่มจาก อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.ทิสโก้  ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เหลือการประชุมอีก 2 ครั้งในปีนี้คือวันที่ 8 ต.ค. และวันที่ 17 ธ.ค. คาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในเดือนธ.ค.นี้ 0.25% หลังจากนั้นในไตรมาส 1/69 มองว่าจะปรับลงอีก 1 ครั้ง 0.25% ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านไทยไม่ได้มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ โดยเงินเฟ้อของไทย เดือนส.ค.ที่ผ่านมา ลดลง 0.79% ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไม่โตเต็มศักยภาพ

ขณะที่เงินทุนเคลื่อนย้ายหลังเฟดลดดอกเบี้ยจะทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทยเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่ม โดยช่วงต้นปีค่าเงินบาทของไทยแตะที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันแตะที่ระดับ 31.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 8% 

แม้ว่าที่ผ่านมาไทยปรับลดดอกเบี้ยไม่ได้ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า แต่กลับเคลื่อนไหวแข็งค่าต่ำกว่า 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังดอลลาร์อ่อนค่า และการส่งออกทองคำพุ่ง หลังราคาดีดปรับตัวขึ้นแรง รวมถึงเม็ดเงินลงทุนได้ไหลเข้าตลาดพันธบัตรมาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน

 

โดยมองว่าในสิ้นปีนี้ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งถ้าจะอยู่ระดับนี้จะต้องอ่อนค่าลงประมาณ 2.5% เนื่องจากไตรมาส 4 คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะแย่ลงจากตัวเลขส่งออกที่หดตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาษี “ทรัมป์” ขณะที่ตัวเลขท่องเที่ยวก็ไม่ดีขึ้น ดังนั้นต้องรอดูสถานการณ์ส่งออกเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถ้าแย่มีโอกาสที่จะทะลุ 32 บาทต่อดอลลาร์ 

ส่วนตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาเคยลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,050 จุด ในช่วงที่ยังไม่เห็นภาพการเมืองชัดเจน แต่หลังจากได้ครม.ชุดใหม่ ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คาดหวังว่าจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น 

ดังนั้น การลงทุนควรอิงหุ้นที่เกี่ยวกับนโยบายรัฐ ค้าปลีก เช่น CPALL, CPAXT  รับเหมาก่อสร้าง เช่น CK , STECON  และไฟแนนซ์ เช่น MTC  เป็นต้น ซึ่งหลังจากครม.ชุดใหม่ได้รับการโปรดเกล้า จะมีการประชุมครม.นัดพิเศษ เข้าเฝ้าในหลวง เพื่อถวายสัตย์ในวันที่ 24 ก.ย.นี้ ร่างนโยบายบริหารประเทศแถลงต่อสภาฯ ซึ่งต้องรอดูว่าจะมีนโยบายอะไรบ้างในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะสั้นภายใต้งบประมาณที่จำกัด ส่วนกรอบดัชนีในสัปดาห์หน้าประเมินแนวรับที่ 1,260-1,270 จุด แนวต้านที่ 1,300-1,320 จุด


ด้าน “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ มองว่า การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด หรือ Dot Plot  คาดเฟดลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าครั้งเดียว การลดดอกเบี้ยที่เร่งตัวขึ้นเปิดประตูให้ธนาคารกลางทั่วโลกใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ส่วนดอกเบี้ยของไทย ถ้า Dot Plot  ไม่ได้ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย มองว่า ดอกเบี้ยของไทยจะปรับลงอยู่แล้ว   1 ครั้ง 0.25%

ส่วน Policy space  หรือส่วนต่างดอกเบี้ยของเฟดอยู่ที่ 4.25% แต่ของไทย 1.5% ทำให้เฟดสามารถจะลดดอกเบี้ยลงได้มากกว่าไทยในปีหน้า คาดว่าปีหน้าดอกเบี้ยของไทยอย่างน้อยน่าจะอยู่ที่ 1% โดยเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีอะไรเลวร้าย แม้ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้ามีความเสี่ยง จากตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอ แต่ปีหน้าจะมีเรื่องการเลือกตั้งจะเป็นตัวช่วยค้ำยันภาพอุปสงค์ในประเทศ

ซึ่งดอกเบี้ยไทย 1% ถ้าไม่ถูกโจมตีจากปัจจัยลบต่างประเทศสามารถยืนได้ แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกย่ำแย่หนักเศรษฐกิจไทยโดนหางเลขไปด้วย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้พูดชัดเจนแล้วว่า มองแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะถัดไปจะอยู่ที่ 0.5% โดยเป็นช่วงที่เคยเกิดขึ้นในช่วงโควิด และเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 

ด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้นเห็นว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยช่วงหลังระหว่างเฟดและธปท. เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลน้อยลงต่ออัตราแลกเปลี่ยน และการโยกย้ายฟันด์โฟลว์ โดยเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงหลังต่างชาติซื้อขายสุทธิเป็น Short-term Trading โดยใช้โปรมแกรมเป็นส่วนใหญ่จึงไม่มีความสัมพันธ์กันมากนัก แต่ถ้าจะมีผลคือเรื่องผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปีหน้ากลุ่มที่ล้อไปกับเศรษฐกิจโลก เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี ส่งออก อาจจะมีความเสี่ยงปรับตัวลงควรจะเลี่ยงการลงทุน แต่กลุ่มที่มีอัพไซด์จะเป็นหุ้นอิงในประเทศ แม้ว่า EPS  ตลาดจะนิ่งหรือโตนิดหน่อย โดยดัชนีหุ้นไทยคงไม่โดดเด่นในปีหน้ามากนัก แต่ไม่ใช่ว่านักลงทุนไม่สามารถลงทุนได้ ซึ่งยังเห็นภาพ Sector Rotation 

โดยปีหน้าถ้ามีการเลือกตั้งถ้าอยู่บนไทม์ไลน์เดิม จะเป็นตัวดึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค และนักลงทุนในประเทศขึ้นมาได้บ้าง โดย valuation หุ้นที่อิงกับปัจจัยภายนอกไปไกลแล้ว แต่ valuation หุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศยังต่ำ ซึ่งถ้ารัฐบาลใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจดึงความเชื่อมั่น แต่อิมแพคต่อจีดีพีเป็นเบี้ยหัวแตก เนื่องจากไทยอยู่ในช่วงสุญญากาศทางการเมือง 3-6 เดือน พอมีอะไรช่วยสร้างสีสันขึ้นมาในช่วงระยะสั้นทำให้ตลาดรีบาวด์ แต่ระยะยาวต้องดูการบริหารของรัฐบาลใหม่ในปีหน้าเลยว่าใครจะได้มาเป็นรัฐบาล และถ้าเป็นรัฐบาลผสมจะเป็นอย่างไรและมีความแข็งแกร่งขนาดไหน 

ด้านค่าเงินบาทนั้น ถ้ากนง.ปรับลดดอกเบี้ยตามเฟดไม่ได้หมายความว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่า จากเงินทุนไหลออก โดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และไทยมีผลกระทบต่อเงินบาทน้อยมาก เพราะยังมีปัจจัยอื่นหนุนบาทแข็งค่า โดยเฉพาะทองคำ  คาดว่าปรับตัวขึ้นต่อหลังเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงชะลอตัวลง และเทรนด์ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ขาลงจะหนุนราคาทองคำปรับตัวขึ้นจะส่งให้เงินบาท 

ทั้งนี้เห็นว่าถ้าเสถภียรภาพการเมืองไม่มีอุบัติเหตุ โดยมีการเลือกตั้งและดึงความเชื่อมั่นกลับมายิ่งทำให้ค่าเงินบาทยืนแข็งค่า ซึ่งจากการดูข้อมูลของธปท.ในสัปดาห์ที่ผ่านมาในการแทรกแซงของธปท. ดูเหมือนว่า ไม่อยากให้หลุด 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่มองว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้าน่าจะอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือถ้าจะอ่อนค่า หากทองคำปรับตัวลงคาดว่าจะลงไม่แรงแตะที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ให้กรอบเฉลี่ย 31-32.50 บาท ในช่วงที่เหลือของปี 

อย่างไรก็ตาม จากข้อูลในอดีตดอกเบี้ยที่ลดลงจะมีขีดจำกัดระยะเวลาที่จะส่งผ่านให้ดัชนีปรับตัวขึ้น แต่หลังจากนั้นตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอจะเริ่มเข้ามามีผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ เพิ่ม ถ้ามองตลาดหุ้นไทยเทียบต่างประเทศ หุ้นไทยยังไม่น่ากังวลถ้าเทียบกับสหรัฐฯ ที่ Valuation  แพง โดยหุ้นไทยดาวน์ไซด์ต่ำ 

แนะนำหลบภัยในหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศ ค้าปลีก เช่น CPALL ,CPAXT ,BJC  ไฟแนนซ์ KTC AEONTS ,MTC อสังหาริมทรัพย์ เช่น AP,LH โรงพยาบาล เช่น BDMS โรงไฟฟ้า เช่น BGRIM ,GPSC  กองรีท เช่น 3BBIF, DIF , CPNREIT โดยประเมินแนวรับสัปดาห์หน้าที่ 1,270 จุด แนวต้านที่ 1,310 จุด 

 แม้ทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดจะข่วยเพิ่มสภาพคล่อง และผลักดันทิศทางตลาดหุ้น แต่จากการที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวจากภาษี “ทรัมป์” ประกอบกับความไม่แน่นอนของปัจจัยการเมืองในประเทศ ทำให้การลงทุนในช่วงต่อไป ต้องพยายามเลือกหุ้นให้ถูกกลุ่มถูกตัว เพื่อรับมุมบวกจากปัจจัยต่างๆ และรับมือความผันผวนที่จะเกิดขึ้นได้....

ที่มาข้อมูล : สัมภาษณ์

ที่มารูปภาพ : Getty Images

นักข่าวอาวุโส ประสบการณ์มากกว่า 25ปี ด้านข่าวการเงิน การคลัง การลงทุน