
หุ้น KTC, BEC และ XPG กอดคอกันร่วงติดฟลอร์ตามเกณฑ์ชั่วคราวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ 15% เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน สวนทางภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวบวกขึ้นมากว่า 22 จุด หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% (ณ เวลา 10.50 น.)
สรุปข่าว
หุ้น KTC, BEC และ XPG กอดคอกันร่วงติดฟลอร์ตามเกณฑ์ชั่วคราวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ 15% เป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน สวนทางภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวบวกขึ้นมากว่า 22 จุด หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% (ณ เวลา 10.50 น.)
โดยหุ้นของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ร่วงติดฟลอร์ 14.41% มาอยู่ที่ 25.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 104 ล้านบาท ซึ่งมีออร์เดอร์ขายรอมากกว่า 213 ล้านหุ้น ทั้งนี้หุ้น KTC มีรายงานการวางมาร์จิ้นหุ้นไว้ 16.30% ของหุ้นทั้งหมด
หุ้นของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ร่วงติดฟลอร์ 14.84% มาอยู่ที่ 2.64 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.05 ล้านบาท ซึ่งมีออร์เดอร์ขายรอมากกว่า 44 ล้านหุ้น ทั้งนี้หุ้น BEC มีรายงานการวางมาร์จิ้นหุ้นไว้ 16.02% ของหุ้นทั้งหมด
และหุ้นของบริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG ร่วงติดฟลอร์ 15% มาอยู่ที่ 0.51 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.67 ล้านบาท ซึ่งมีออร์เดอร์ขายรอมากกว่า 137 ล้านหุ้น ทั้งนี้หุ้น XPG มีรายงานการวางมาร์จิ้นหุ้นไว้ 13.49% ของหุ้นทั้งหมด
ด้านนายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า การที่ราคาหุ้น 3 ตัวนี้ คือ หุ้นบมจ.บัตรกรุงไทย [KTC] บมจ.บีอีซี เวิลด์ [BEC] และบมจ. เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล [XPG] ยังร่วงลงมาต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ ยังเป็นผลจากที่คาดว่าจะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นทั้ง 3 ตัวนี้ไว้ถูกบังคับขาย (Force Sell) ดังนั้น หุ้น KTC BEC XPG ก็ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงได้ต่อเพราะยังมีออร์เดอร์รอขายอยู่อีกมา
แต่เนื่องด้วยการปรับตัวลงของหุ้นทัง 3 ไม่ได้มาจากปัญหาในด้านปัจจัยพื้นฐาน จึงไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวลมากนัก จึงแนะนำให้หาจังหวะรอซื้อหุ้นเหล่านี้หลังจากหลุดออกจากฟลอร์แล้ว เพราะคาดว่าหุ้นทั้ง 3 จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ดี
ขณะที่ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า จากการสอบถามไปทาง IR ของ KTC ได้รับคำตอบว่าผลการดำเนินงานยังคงเป็นปกติ ผลประกอบการ 5 เดือนแรก การเติบโตของสินเชื่อยังโตได้ตามสถานการณ์เศรษฐกิจแม้ไม่ค่อยดีนัก แต่รายได้ยังคงทรงตัว ขณะที่การติดตามทวงถามหนี้ยังทำได้ใกล้เคียงเดิม
เราเชื่อว่าการปรับตัวลดลงหนักของราคาหุ้น KTC ไม่น่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่อย่างใด ขณะที่ KTB ยังคงยืนยันสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ที่ระดับ 49.29% ไม่มีแผนการลดสัดส่วนการถือหุ้น ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะเป็นการถูก Force sell ตามที่เป็นกระแสข่าว
อย่างไรก็ดี หากถูก Force sell จริง ถ้านักลงทุนที่นำหุ้น KTC ไปวางเป็นหลักประกันไม่สามารถหาหลักประกันมาวางเพิ่ม หรือนำเงินมาจ่ายชำระหนี้ได้ อาจมีการบังคับขายต่อในวันนี้ แต่เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของ KTC ไม่เปลี่ยนแปลง และเรายังเชื่อว่า KTC ยังจะสามารถทำกำไรได้นิวไฮต่อเนื่องในปีนี้ได้ คงรอเพียงแรงขายหยุดแล้วค่อยเข้าซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายที่ 42 บาท (ประเมินโดยวิธี GGM ที่ 2.25xPBV68F)
- "หยวนต้า" มองสถานการณ์ "ตะวันออกกลาง" เดือด กดดัน "หุ้นพลังงาน" แนะ Selective Buy
- "ตลท." ปรับเกณฑ์ "ซิลลิ่ง-ฟลอร์" เหลือ 15% รับมือตลาดผันผวนชั่วคราว 23-27 มิ.ย.68 หลังตะวันออกกลางระอุ
- “โปรไฟไหม้” หุ้นไทย
- ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศมาตรการชั่วคราวรองรับความผันผวนของหุ้น
- หุ้นไทยรีบาวด์ 10 จุด นักลงทุนคลายกังวลการเมือง-หุ้นใหญ่หนุนตลาด
- "หุ้นไทย" ร่วง 6 วันติด ต่ำสุดรอบ 5 ปี ฝรั่งขายทะลุ 7 หมื่นลบ. การเมืองเขย่าเชื่อมั่น เศรษฐกิจกดดัน รั้งบ๊วยตลาดหุ้นหลักของโลก
- "คลิปหลุด" หุ้นไทยหล่น "การเมือง" เสี่ยงสูง โบรกฯแนะกำเงินสด หมุนเงินเข้าหุ้น Defensive
ที่มาข้อมูล : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่มารูปภาพ : TNN
