"อาเซียน" สะเทือน "ทรัมป์" บีบสินค้าสวมสิทธิ์ ปิดทาง "China Plus One"

ศึกหนัก อาเซียน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอกับคลื่นยักษ์ภาษีครั้งใหญ่จากประเทศสหรัฐอเมริกา มีผลบังคับใช้แล้วอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมเป็นต้นมา และยังมีภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% ที่สหรัฐฯประกาศใช้กับทุกประเทศทั่วโลกตั้งแต่เดือนเมษายน  แต่ในขณะเดียวกันในทิศทางตรงกันข้ามหลังจากนี้ไปสหรัฐฯจะสามารถส่งออกสินค้าของตนเองเข้าสู่อาเซียนมากขึ้นแบบปลอดภาษี หรือภาษี 0% ตามการแลกดีลภาษีและการค้าของหลายประเทศ

สรุปข่าว

อาเซียน 10 ชาติ ไม่มีใครรอดจากภาษีทรัมป์ โดนเก็บเรียบตั้งแต่ 10-40% แต่ที่ต้องจับตามากกว่าภาษีที่ชัดเจนเหล่านี้ ก็คือเงื่อนไขเรื่องภาษีสินค้าสวมสิทธิ สินค้าผ่านทาง Transshipment ที่สหรัฐฯ ประกาศกร้าวว่า จะเก็บทันที 40% พร้อมมีบทลงโทษเพิ่ม หากจับได้ว่ามีประเทศไหนแอบยัดสินค้าสวมสิทธิส่งออกไปยังสหรัฐฯ

ศึกหนัก อาเซียน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอกับคลื่นยักษ์ภาษีครั้งใหญ่จากประเทศสหรัฐอเมริกา มีผลบังคับใช้แล้วอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมเป็นต้นมา และยังมีภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% ที่สหรัฐฯประกาศใช้กับทุกประเทศทั่วโลกตั้งแต่เดือนเมษายน  แต่ในขณะเดียวกันในทิศทางตรงกันข้ามหลังจากนี้ไปสหรัฐฯจะสามารถส่งออกสินค้าของตนเองเข้าสู่อาเซียนมากขึ้นแบบปลอดภาษี หรือภาษี 0% ตามการแลกดีลภาษีและการค้าของหลายประเทศ

อีกหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา ก็คือ ภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ 40% พร้อมบทลงโทษ เพราะวันนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาย้ำชัดเจนว่าต้องการจะปราบปรามสินค้าที่มีการสวมสิทธิ์ หรือส่งผ่าน (transshipment) ทางประเทศที่ 3 ซึ่งแน่นอนว่ามีการโฟกัสมาที่อาเซียนเป็นหลัก และมีการชี้ชัดว่าหมายถึงสินค้าจากประเทศจีนที่อาจจะเข้ามาสวมสิทธิผ่านประเทศต่างๆ เหล่านี้ 

ความเห็นจาก "ปวน ยาติม"รองศาสตราจารย์จากโรงเรียนบัณฑิตศึกษาธุรกิจมหาวิทยาลัย Kebangsaan ในมาเลเซีย กล่าวว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ ตีความอย่างแคบๆ มุ่งเป้าไปแค่การป้องกันสินค้าที่นำเข้าจากจีน ผ่านการแปรรูปขั้นต่ำ หรือติดฉลากใหม่แล้วส่งออกไปยังสหรัฐฯ อีกครั้ง ก็จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาเซียนอย่างจำกัดหรือไม่มากนัก  แต่ถ้ามีการตีความที่กว้างไปกว่านี้หมายรวมถึงสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมดก็อาจจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา และมาเลเซีย 

ที่มาข้อมูล : TNN WEALTH

ที่มารูปภาพ : CANVA