"ประท้วงเจนซี" เนปาล ลามถึง ฟิลิปปินส์ เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่ขอทน "ปัญหาปากท้อง-คอร์รัปชัน"

"เจนซี" ไม่ทนอีกต่อไป เมื่อปัญหาปากท้องลามสู่การเมือง 



เจนซี จะไม่ทน เจนซีหรือคนรุ่นใหม่ในหลายประเทศ ได้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ แม้จะเป็นภาพของการต่อต้านการเมือง แต่มีปมลึกที่ตรงกัน คือ ปัญหาปากท้องของคนในชาติ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเอเชีย จากวิกฤตในเนปาล ลามมาถึงฟิลิปปินส์ 


 คนรุ่นใหม่ประท้วงต้านทุจริต "ฟิลิปปินส์" 


การประท้วงของกลุ่มเจนซี หรือคนรุ่นใหม่ เกิดขึ้นต่อเนื่องลามไปหลายประเทศ ล่าสุดประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา เกิดการชุมนุมของประชาชนจำนวนมากในกรุงมะนิลา เพื่อประท้วงต่อต้านการทุจริตในโครงการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาล ซึ่งมีการใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 545,000 ล้านเปโซ หรือกว่า 3 แสนล้านบาท นับตั้งแต่ปี 2565 แต่ปรากฎว่าการป้องกันน้ำท่วมไร้ประสิทธิภาพ เพราะช่วงฤดูมรสุมหลายเดือนที่ผ่านมา กลับเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่หลายครั้ง โดยทางประธานาธิบดี"เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์" ได้เร่งสั่งให้ตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนความผิดปกติดังกล่าวแล้ว


การประท้วงมีภาพความรุนแรงเกิดขึ้น เมื่อผู้ประท้วงเคลื่อนขบวนจะไปชุมนุมหน้าทำเนียบประธานาธิบดี แต่ถูกตำรวจควบคุมฝูงชนขัดขวาง จึงเกิดการปะทะกัน มีการขว้างปาก้อนหินใส่ตำรวจและเผายางรถยนต์ จนเป็นเหตุให้ผู้ประท้วงหลายสิบคนถูกจับกุม


และการประท้วงครั้งนี้ยังตรงกับวันครบรอบการประกาศกฎอัยการศึกโดย "เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซีเนียร์" อดีตผู้นำเผด็จการ เมื่อปี พ.ศ.2515 ด้วย ซึ่งก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางตลอดระยะเวลาสองทศวรรษที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ 


ที่สำคัญ คือ กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนวัยหนุ่มสาวและวัยรุ่น และถูกเรียกว่าการประท้วงของคน Gen Z เช่นเดียวกับการประท้วงรัฐบาลที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในประเทศเนปาลและอินโดนีเซีย และหนึ่งในสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ถูกนำมาผูกโยง ก็คือ กลุ่มผู้ประท้วงได้นำธงจากการ์ตูนอะนิเมะญี่ปุ่นชื่อดัง วันพีซ มาใช้เป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงด้วย


ก่อนจะมาถึงฟิลิปปินส์ การประท้วงของเจนซีก็เกิดขึ้นเช่นกัน ในประเทศเนปาล และรุนแรงในระดับประวัติศาสตร์ เริ่มจากการที่รัฐบาลแบนสื่อโซเชียล ส่วนปมสำคัญของการประท้วง คือ การล้มล้าง Nepo Kids ลูกหลานคนรวย ความเหลื่อมล้ำในสังคม  



สรุปข่าว

การประท้วงของกลุ่มเจนซี หรือคนรุ่นใหม่ เกิดขึ้นต่อเนื่องลามไปหลายประเทศ ล่าสุดประเทศฟิลิปปินส์ ประท้วงต่อต้านการทุจริตในโครงการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาล ซึ่งมีการใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 545,000 ล้านเปโซ หรือกว่า 3 แสนล้านบาท แต่ปรากฎว่ายังกลับเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่หลายครั้ง ขณะที่ก่อนหน้านี้คือการประท้วงในเนปาล ที่หนักถึงขึ้นเผาเมือง และนายกรัฐมนตรีต้องประกาศลาออก เพราะรัฐบาลสั่งแบนโซเซียลมีเดีย และมียังปมเรื่อง Nepo Kids ลูกหลานนักการเมืองที่ใช้ชีวิตหรูหรา สวนทางกับคนในประเทศที่ลำบากยากจน

"เจนซี" ไม่ทนอีกต่อไป เมื่อปัญหาปากท้องลามสู่การเมือง 



เจนซี จะไม่ทน เจนซีหรือคนรุ่นใหม่ในหลายประเทศ ได้ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ แม้จะเป็นภาพของการต่อต้านการเมือง แต่มีปมลึกที่ตรงกัน คือ ปัญหาปากท้องของคนในชาติ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเอเชีย จากวิกฤตในเนปาล ลามมาถึงฟิลิปปินส์ 


 คนรุ่นใหม่ประท้วงต้านทุจริต "ฟิลิปปินส์" 


การประท้วงของกลุ่มเจนซี หรือคนรุ่นใหม่ เกิดขึ้นต่อเนื่องลามไปหลายประเทศ ล่าสุดประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา เกิดการชุมนุมของประชาชนจำนวนมากในกรุงมะนิลา เพื่อประท้วงต่อต้านการทุจริตในโครงการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาล ซึ่งมีการใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 545,000 ล้านเปโซ หรือกว่า 3 แสนล้านบาท นับตั้งแต่ปี 2565 แต่ปรากฎว่าการป้องกันน้ำท่วมไร้ประสิทธิภาพ เพราะช่วงฤดูมรสุมหลายเดือนที่ผ่านมา กลับเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่หลายครั้ง โดยทางประธานาธิบดี"เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์" ได้เร่งสั่งให้ตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนความผิดปกติดังกล่าวแล้ว


การประท้วงมีภาพความรุนแรงเกิดขึ้น เมื่อผู้ประท้วงเคลื่อนขบวนจะไปชุมนุมหน้าทำเนียบประธานาธิบดี แต่ถูกตำรวจควบคุมฝูงชนขัดขวาง จึงเกิดการปะทะกัน มีการขว้างปาก้อนหินใส่ตำรวจและเผายางรถยนต์ จนเป็นเหตุให้ผู้ประท้วงหลายสิบคนถูกจับกุม


และการประท้วงครั้งนี้ยังตรงกับวันครบรอบการประกาศกฎอัยการศึกโดย "เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ซีเนียร์" อดีตผู้นำเผด็จการ เมื่อปี พ.ศ.2515 ด้วย ซึ่งก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางตลอดระยะเวลาสองทศวรรษที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ 


ที่สำคัญ คือ กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนวัยหนุ่มสาวและวัยรุ่น และถูกเรียกว่าการประท้วงของคน Gen Z เช่นเดียวกับการประท้วงรัฐบาลที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในประเทศเนปาลและอินโดนีเซีย และหนึ่งในสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ถูกนำมาผูกโยง ก็คือ กลุ่มผู้ประท้วงได้นำธงจากการ์ตูนอะนิเมะญี่ปุ่นชื่อดัง วันพีซ มาใช้เป็นสัญลักษณ์ของการประท้วงด้วย


ก่อนจะมาถึงฟิลิปปินส์ การประท้วงของเจนซีก็เกิดขึ้นเช่นกัน ในประเทศเนปาล และรุนแรงในระดับประวัติศาสตร์ เริ่มจากการที่รัฐบาลแบนสื่อโซเชียล ส่วนปมสำคัญของการประท้วง คือ การล้มล้าง Nepo Kids ลูกหลานคนรวย ความเหลื่อมล้ำในสังคม  



ประท้วงเจนซี "เนปาล" 


เดือนกันยายน 2568  ประเทศเนปาลลุกเป็นไฟ จากเหตุการณ์ประท้วงอย่างรุนแรงที่นำโดยกลุ่มเยาวชนเจนซี หรือคนรุ่นใหม่ในประเทศ เหตุการณ์เริ่มต้นจากรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายเค.พี. ชาร์มา โอรี  (K. P. Sharma Oli) ที่ได้สั่งแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในประเทศ 26 แพลตฟอร์ม รวมไปถึง Facebook และ Instagram โดยอ้างว่าผู้ให้บริการไม่ทำตามข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ แต่ไปจุดชนวนให้เกิดการประท้วงทั่วประเทศ เพราะชาวเนปาลมองว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะการวิจารณ์และต่อต้านรัฐบาล และเป็นการตอกย้ำว่ามีความทุจริต คอรัปชั่นในประเทศ และผู้มีอำนาจต้องการจะปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ หรือปิดหูปิดตาประชาชน  


นอกจากนี้เจนซียังไม่พอสิ่งที่เรียกว่า "Nepo Kids" หรือลูกหลานนักการเมืองที่ร่ำรวย และนิยมอวดชีวิตที่หรูหรา ตรงข้ามกับประชาชนในประเทศที่เจอกับปัญหาปากท้อง โดยเฉพาะกลุ่มของคนเด็กรุ่นใหม่ที่เจอกับปัญหาการว่างงานในประเทศ ในระดับสูง มากกว่า 20% 


ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นหรือรัฐบาล ก็มักจะมีเด็กเส้น แต่งตั้งคนรู้จักหรือเครือญาติเข้าไปทำงาน  ส่วนคนธรรมดาต่อให้เข้าไปได้ก็มีโอกาสเติบโตที่มีจำกัด เพราะระบบเอื้อให้แต่คนมีเครือข่ายหรือเงินทุนมากกว่าความสามารถที่แท้จริง  รวมไปถึงปัญหาความยากจนที่มาตัดโอกาสการเข้าถึงการศึกษา


นอกจากนี้ยังมีปัญหาเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ ราคาสินค้า อาหารพากันปรับตัวสูงขึ้น  ขณะที่ส่วนภาคเกษตรก็มีปัญหาหนัก จากภัยแล้ง โรคพืช และความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้รายได้ของประชาชนในชนบทไม่แน่นอน 


ที่สำคัญ อีกประเด็น คือ เศรษฐกิจของเนปาลมีการพึ่งพารายได้จากชาวเนปาลที่ไปทำงานต่างประเทศและส่งเงินกลับบ้านเป็นหลัก มากถึงหนึ่งในสามของ GDP มาจาก "remittances"  แต่ในช่วงเวลานี้เกิดข้อจำกัดหลายด้านนับตั้งแต่ยุคโควิด -19 เป็นต้นมา จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง


เนปาล เป็นประเทศกลุ่มรายได้ต่ำถึงปานกลาย และมีที่ตั้งที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล อยู่บนแนวเทือกเขาหิมาลัย เป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และที่ผ่านมาโชคดีที่มีเทือกเขาหิมาลัย จึงสามารถสร้างรายได้จากภาคบริการมากถึง 55% จากรายได้ทั้งหมดของประเทศ แต่รายได้จากการเที่ยวปีนเขาก็เพียงแค่ 3 เดือนใน 1 ปีเท่านั้น 


ดังนั้นเมื่อไม่มีงานทำในประเทศ ประชากรที่มีทั้งหมด 30 ล้านคน โดยเฉพาะวัยแรงงานก็ต้องหาทางดิ้นรนออกไปค้าแรงงานในต่างประเทศ ส่วนคนที่ไม่มีทางไป ส่วนใหญ่ก็มักหางานทำไม่ได้  และเมื่อทุกอย่างหนักขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งจากความอดยาก ความลำบากของผู้คน มาถึงการปิดหูปิดตาด้วยการปิดโซเชียล การประท้วงจึงระเบิดขึ้นในระดับที่เราคาดไม่ถึง 


การประท้วงของเนปาล หนักในระดับประวัติศาสตร์ กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก มีการก่อจราจลปล้นห้าง เผาโรงแรมหรู บุกทำร้ายนักการเมือง แม้จะมีการระบุว่าส่วนหนึ่งมาจากมือที่สามที่เข้ามาแทรกแซง แต่ไม่อาจทำให้ภาพความรุนแรงลดลงไปได้  โดยเฉพาะกรณีของภรรยาของอดีตนายกฯ ที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกจุดไฟเผาบ้าน และยังมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการประท้วงดังกล่าว และทั้งหมดนี้เป็นแรงกดดันขั้นสูงสุดที่ทำให้นายกรัฐมนตรี นายเค.พี. ชาร์มา โอรี  ต้องประกาศลาออก และมีการแต่งตั้งสุศีลา การกี (Sushila Karki) อดีตประธานศาลฎีกา เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลชั่วคราวในเนปาล ซึ่งล่าสุดได้ประกาศว่าจะขอนั่งเก้าอี้ผู้นำเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ 


อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลเนปาลชุดใหม่ หลังจากเกิดความเสียหายอย่างหนักในประเทศ โดยเฉพาะฟื้นฟูเมืองในกลับมาจากการถูกเผาทำลาย เช่น สถานที่ราชการ ไปจนถึงห้างร้านเอกชน อาคารรัฐ อาคารของพรรคการเมือง มีการประเมินว่าความเสียหายรวมอาจสูงกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ


ขณะเดียวกันการประท้วงยังทำให้เกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และพื้นที่ธุรกิจถูกทำลาย กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน หลายคนต้องตกงานทันทีจากการปิดธุรกิจต่างๆ  รวมไปถึงรายได้ที่สำคัญของประเทศ ก็คือ ภาคการท่องเที่ยว หลังมีข่าวการประท้วง มีการยกเลิกการเดินทางเข้าประเทศจำนวน และยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ประเทศในอนาคต


และหมายความรัฐบาลต้องหาเงินหรือใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลมาฟื้นฟูประเทศ และยังต้องเดินหน้าทำงานภายใต้แรงกดดันจากประชาชนเรื่องทุจริตคอรัปชัน และการล้มล้างระบบ Nepo Kids ท่ามกลางความเสี่ยงทางการคลังที่เนปาลก็ได้แบกหนี้สาธารณะเอาไว้เป็นจำนวนมากถึงระดับ 42.7% ของ GDP

ที่มาข้อมูล : Reuters

ที่มารูปภาพ : TNN Bloomberg Reuters