คนไทย 4.3 ล้านคนต่อปี ต้องการรับบริการสุขภาพจิต แต่มีเพียง 2.8–3 ล้านคน ที่สามารถเข้าถึงบริการได้

คนไทย 4.3 ล้านคนต่อปี ต้องการรับบริการสุขภาพจิต แต่มีเพียง 2.8–3 ล้านคน ที่สามารถเข้าถึงบริการได้

กรมสุขภาพจิตเผย ประชาชน 4.3 ล้านคนต่อปี ต้องการรับบริการสุขภาพจิต แต่มีเพียง 2.8–3 ล้านคนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงบริการ เร่งขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพจิตและสารเสพติด ผ่านกลไก Service Plan ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่มวัย


กรมสุขภาพจิต เร่งขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและสารเสพติด เพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชนทุกกลุ่มวัยอย่างทั่วถึง โดยเน้นพัฒนานวัตกรรมการรักษาและบูรณาการความร่วมมือกับครอบครัว ชุมชน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างระบบดูแลสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว


 นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สถานการณ์สุขภาพจิตของประเทศไทยในปัจจุบันมีความซับซ้อนและทวีความรุนแรง โดยมีประชาชนมากกว่า 4.3 ล้านคนต่อปีที่ต้องการรับบริการสุขภาพจิต แต่มีเพียง 2.8–3 ล้านคนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงบริการ ขณะเดียวกันพบว่าปัญหาความรุนแรงในสังคมมีความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพจิตและการใช้สารเสพติด โดยร้อยละ 40 ของเหตุความรุนแรงมีสาเหตุมาจากผู้ป่วยจิตเวชหรือผู้ใช้สารเสพติด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชที่มีพฤติกรรมรุนแรงร่วมกับการใช้สารเสพติด (SMI-V) ซึ่งคาดประมาณการณ์ว่าอาจพบสูงถึง 223,253 คน และกว่าครึ่งไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา 

สรุปข่าว

สถานการณ์สุขภาพจิตของประเทศไทยในปัจจุบันมีความซับซ้อนและทวีความรุนแรง โดยมีประชาชนมากกว่า 4.3 ล้านคนต่อปีที่ต้องการรับบริการสุขภาพจิต แต่มีเพียง 2.8–3 ล้านคนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงบริการ

กรมสุขภาพจิตเผย ประชาชน 4.3 ล้านคนต่อปี ต้องการรับบริการสุขภาพจิต แต่มีเพียง 2.8–3 ล้านคนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงบริการ เร่งขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพจิตและสารเสพติด ผ่านกลไก Service Plan ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่มวัย


กรมสุขภาพจิต เร่งขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและสารเสพติด เพิ่มการเข้าถึงบริการของประชาชนทุกกลุ่มวัยอย่างทั่วถึง โดยเน้นพัฒนานวัตกรรมการรักษาและบูรณาการความร่วมมือกับครอบครัว ชุมชน และภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างระบบดูแลสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว


 นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สถานการณ์สุขภาพจิตของประเทศไทยในปัจจุบันมีความซับซ้อนและทวีความรุนแรง โดยมีประชาชนมากกว่า 4.3 ล้านคนต่อปีที่ต้องการรับบริการสุขภาพจิต แต่มีเพียง 2.8–3 ล้านคนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงบริการ ขณะเดียวกันพบว่าปัญหาความรุนแรงในสังคมมีความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพจิตและการใช้สารเสพติด โดยร้อยละ 40 ของเหตุความรุนแรงมีสาเหตุมาจากผู้ป่วยจิตเวชหรือผู้ใช้สารเสพติด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชที่มีพฤติกรรมรุนแรงร่วมกับการใช้สารเสพติด (SMI-V) ซึ่งคาดประมาณการณ์ว่าอาจพบสูงถึง 223,253 คน และกว่าครึ่งไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา 

ด้วยเหตุนี้ กรมสุขภาพจิตจึงเร่งขับเคลื่อนนโยบายตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2562 โดยเน้นการส่งเสริม ป้องกัน คุ้มครองสิทธิ และฟื้นฟูสุขภาพจิต โดยปรับเปลี่ยนกรอบแนวคิดจากการกำหนดนโยบายแบบบนลงล่าง สู่การบูรณาการในระดับพื้นที่ผ่านคณะอนุกรรมการสุขภาพจิตระดับจังหวัด เพื่อกำหนดเป้าหมายและวาระสุขภาพจิตให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ 


สำหรับมาตรการด้านสุขภาพจิตและยาเสพติด กรมสุขภาพจิตมุ่งเน้นการค้นหากลุ่มเสี่ยงด้วย 5 สัญญานเตือน (ไม่หลับไม่นอน เดินไปเดินมา พูดจาคนเดียว หงุดหงิดฉุนเฉียว เที่ยวหวาดระแวง) เพิ่มเตียงจิตเวชยาเสพติด ใช้นวัตกรรมยาฉีดและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการบำบัดรักษา และส่งเสริมการฟื้นฟูโดยชุมชน ส่วนมาตรการป้องกันการฆ่าตัวตาย มุ่งสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังในสถานศึกษาและสถานพยาบาล ส่งเสริมการเลี้ยงดูแบบอ่อนโยน (Gentle Parenting) เพิ่มความครอบคลุมของทีมปฏิบัติการกู้ชีพจากการฆ่าตัวตาย (HOPE Task Force)  จัดตั้งศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิตในทุกเขตสุขภาพ และพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มต่อเติมใจ เพื่อดูแลประชาชนที่ีมีภาวะเครียดหรือซึมเศร้าอย่างเป็นระบบและยั่งยืน


นายแพทย์จุมภฏ พรมสดีา รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 กรมสุขภาพจิตมีความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพจิตและสารเสพติดผ่านกลไก Service Plan โดยมุ่งเน้นเพิ่มการเข้าถึงบริการและการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยจิตเวชและสารเสพติดเพื่อป้องกันการก่อความรุนแรงจากการขาดการรักษา โดยให้ความสำคัญกับ 3 บริการหลัก ได้แก่ 1.เพิ่มเตียงรองรับผู้ป่วยจิตเวชสารเสพติดในโรงพยาบาลจิตเวช 102 เตียง ในโรงพยาบาลธัญญารักษ์ 84 เตียง และในโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป สังกัดสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข 137 เตียง รวมเพิ่มขึ้นทั้งกระทรวง 323 เตียง 2. เปิดบริการหอผู้ป่วยมินิธัญญารักษ์ ครอบคลุม 271 โรงพยาบาลในทุกเขตสุขภาพ 3. เปิดบริการหอผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติดที่บ้าน (Psychiatric Home Ward)  19 แห่ง ทำให้ในปัจจุบันมีผู้ได้รับการค้นหาคัดกรองในระบบ V-Care กว่า 80,689 ราย ติดตามรักษาได้กว่า 60,213 ราย อัตราการรักษาต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 77.23 ผู้ป่่วยจิตเวชยาเสพติดก่อความรุนแรงได้รับยาฉีด ควบคุมอาการต่อเนื่องแล้ว 405 คน 


ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิตยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพจิตและสารเสพติดร่วมกับภาคีเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างครอบคลุม เท่าเทียม และปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานการดูแลอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

ที่มาข้อมูล : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

ที่มารูปภาพ : Envato