ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไทย "ส่งออกรถไฟฟ้า" ล็อตแรกสำเร็จ 660 คัน ยอดผลิต EV ในประเทศเร่งตัวขึ้น

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์  ไทย "ส่งออกรถไฟฟ้า" ล็อตแรกสำเร็จ 660 คัน  ยอดผลิต EV ในประเทศเร่งตัวขึ้น

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะโฆษกฯ ส.อ.ท.  เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรถยนต์ เดือนเมษายน 2568 ว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนเมษายน 2568 มีทั้งสิ้น 104,250 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2568 19.75% และลดลงจากเดือนเมษายน 2567  0.40% ผลิตต่ำสุดในรอบ 44 เดือน ซึ่งลดลงไม่มากเพราะมีการผลิตรถยนต์นั่ง และรถ SUV ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้น ทั้ง BEV เพิ่มขึ้น 639.75% PHEV เพิ่มขึ้น 319.11% และ HEV เพิ่มขึ้น 35.31% 


อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผลิตรถยนต์นั่งสันดาปภายในลดลง 33.60 %เพราะผลิตรถยนต์นั่งส่งออกลดลงถึง  36.93% เนื่องจากมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์บางรุ่น รถกระบะยังคงผลิตลดลง 3.06% เพราะผลิตขายในประเทศลดลง 33.16 % ตามยอดขายรถกระบะในประเทศที่ยังคงลดลง 22.25%จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม - เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 456,749 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - เมษายน 2567 11.96 %


สำหรับการผลิตเพื่อส่งออกเดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 67,085 คัน เท่ากับ 64.35%  ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนเมษายน 2567  ที่อัตรา 6.73% ส่วนเดือนมกราคม - เมษายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 303,881 คัน เท่ากับ 66.53% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกัน 12.07%


ทั้งนี้ การส่งออกเริ่มส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นเดือนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ส่งออกในเดือนเมษายน ถือเป็นครั้งแรกจำนวน 660 คัน มีสัดส่วน 1.43% ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก

นายสุรพงษ์กล่าวว่า  “ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยว่ามีการผลิตรถไฟฟ้าเพื่อส่งออกได้แล้วจำนวน 660 คัน” 

สรุปข่าว

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ไทย "ส่งออกรถไฟฟ้า" ล็อตแรกสำเร็จ 660 คัน ยอดผลิต EV ในประเทศเร่งตัวขึ้น

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะโฆษกฯ ส.อ.ท.  เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดรถยนต์ เดือนเมษายน 2568 ว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนเมษายน 2568 มีทั้งสิ้น 104,250 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2568 19.75% และลดลงจากเดือนเมษายน 2567  0.40% ผลิตต่ำสุดในรอบ 44 เดือน ซึ่งลดลงไม่มากเพราะมีการผลิตรถยนต์นั่ง และรถ SUV ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้น ทั้ง BEV เพิ่มขึ้น 639.75% PHEV เพิ่มขึ้น 319.11% และ HEV เพิ่มขึ้น 35.31% 


อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผลิตรถยนต์นั่งสันดาปภายในลดลง 33.60 %เพราะผลิตรถยนต์นั่งส่งออกลดลงถึง  36.93% เนื่องจากมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์บางรุ่น รถกระบะยังคงผลิตลดลง 3.06% เพราะผลิตขายในประเทศลดลง 33.16 % ตามยอดขายรถกระบะในประเทศที่ยังคงลดลง 22.25%จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม - เมษายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 456,749 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม - เมษายน 2567 11.96 %


สำหรับการผลิตเพื่อส่งออกเดือนเมษายน 2568 ผลิตได้ 67,085 คัน เท่ากับ 64.35%  ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนเมษายน 2567  ที่อัตรา 6.73% ส่วนเดือนมกราคม - เมษายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 303,881 คัน เท่ากับ 66.53% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกัน 12.07%


ทั้งนี้ การส่งออกเริ่มส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นเดือนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ส่งออกในเดือนเมษายน ถือเป็นครั้งแรกจำนวน 660 คัน มีสัดส่วน 1.43% ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก

นายสุรพงษ์กล่าวว่า  “ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เลยว่ามีการผลิตรถไฟฟ้าเพื่อส่งออกได้แล้วจำนวน 660 คัน” 

ส่วนเดือนเมษายน 2568 ส่งออกได้ 65,730 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้ว 18.77 %และลดลงจากเดือนเมษายน 2567 ที่ 6.31%  เพราะมีการเปลี่ยนรุ่นรถยนต์นั่งบางรุ่น และการเข้มงวดในเรื่องเทคโนโลยีช่วยเหลือเรื่องความปลอดภัย และการปล่อยคาร์บอนในบางประเทศคู่ค้า รถยนต์ HEV จึงส่งออกเพิ่มขึ้น 87.96% แต่จำนวนไม่มาก จึงส่งออกลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลียตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาเหนือ คงต้องติดตามผลการเจรจาของประเทศไทย และประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกาต่อไป


ทั้งนี้นายสุรพงษ์ กล่าวว่า แม้ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะขยับขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยในยังคงซบเซา โดยเฉพาะการส่งออกที่ลดลงต่อเนื่อง รวมถึงยอดผลิตที่ต่ำสุดในรอบ 44 เดือนจากความต้องการทั้งในและต่างประเทศที่ชะลอตัว พร้อมคาดการณ์ว่าจะมีการปรับเป้าในช่วงกลางนี้ โดยขอเวลาอีก 1-2 เดือนจะเห็นความชัดเจนเรื่องการเจรจามาตรการภาษีกับสหรัฐฯ ขณะที่สถานการณ์ของอุตสาหกรรมยังอยู่ในช่วงที่ต้องจับตาดูต่อไปอีก 2-3 ปีจึงจะบอกได้ว่าพ้นจากวิกฤตหรือไม่